จังหวัดอะไรเอ่ย...ที่มีน้ำตกสวย ๆ หลายแห่ง มีโรงพยาบาลที่รักษาโรคด้วยสมุนไพร ขนาดใหญ่มาก มีพิพิธภัณฑ์ที่มีของเก่าโดยเฉพาะตะเกียงเจ้าพายุนับเป็นหมื่น ๆ ชิ้น
แถมยังมีมีแกลอรี่ดอกไม้ที่สวยงามสุด มีตลาดข้างทางที่มีผักพื้นบ้านสดๆ ให้เราช๊อปปิ้งมากมาย ที่สำคัญมีผักกระเฉดแบบที่ไม่มีนมและไม่มีใบด้วยอ่ะค่า ..... เฉลยดีกว่า จังหวัดที่ว่าก็คือ ปราจีนบุรี นั่นเองนะคะ ^_^
ปราจีนบุรี แต่เดิมเรียกกันว่า จังหวัดปราจิณบุรีนะคะ (พิมก็เพิ่งรู้เลย) ...... ปราจีนบุรีเป็นจังหวัดที่อยู่ในเขตภาคตะวันออกของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาก มีการค้นพบซากโบราณสถานต่าง ๆ มากมาย แล้วก็ยังมีแหล่งท่องเที่ียวทางธรรมชาติอีกหลายแห่ง มีอุทยานแห่งชาติที่อยู่ในเขตมรดกโลกอีก 3 อุทยาน แถมยังมีผักกระเฉดที่ไม่มีนม และไม่มีใบ เรียกกันว่า ผักกระเฉดชะลูดน้ำ .. อีกด้วยค่ะ ^_^
วันนี้พิมก็เลยจะมาชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยวปราจีนบุรีกันนะคะ รับรองว่าทั้งสนุก อิ่ม และอร่อย ไม่แพ้จังหวัดอื่น ๆ ที่พิมเคยพาไปเลยอ่ะค่ะ ...... ยังไงถ้าพร้อมแล้ว เก็บกระเป๋าขึ้นรถตามพิมมาเลยนะคะ
ทริปปราจีนบุรีทริปนี้ ตอนแรกพิมแพลนเอาไว้ว่าจะไป 3 วันค่ะ คือวันแรกกะว่าจะไปเที่ยวแถวอำเภอศรีมโหสถ กับอำเภอศรีมหาโพธิ์ก่อน แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยไปที่อำเภอเมืองและอำเภอประจันตคาม ส่วนวันสุดท้ายก็ไปที่อำเภอนาดีและกบินทร์บุรีนะคะ .... แต่ปรากฎว่าพอใกล้ถึงวันที่พิมจะไปจริง ๆ โฮมสเตย์ที่พิมติดต่อไว้เพื่อจะไปพักและไปเที่ยวชมในวันที่ 1 กับวันที่ 2 เค้าติดรับทัวร์อื่นซะแล้ว แถมยังติดยาวเกือบสองเดือน พิมก็เลยต้องยกเลิกโปรแกรมโฮมสเตย์ไป และปรับวันไปเที่ยวเป็น 2 วันแทนอ่ะค่ะ
ซึ่ง 2 วันนี้เนี่ย พิมก็แพลนเอาไว้ว่าวันแรกพิมจะไปเที่ยวแบบชิวๆ ก่อนนะคะ ประมาณว่าออกจากบ้านไปชมต้นโพธิ์ใหญ่ที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์ก่อน แล้วก็ไปหาอะไรอร่อย ๆ แนวสมุนไพรกิน (เพราะปราจีนบุรีได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งสมุนไพรอ่ะค่ะ) จากนั้นก็จะไปช๊อปปิ้งแบบสวย ๆ ที่ตลาดผลไม้หนองชะอมนะคะ ตามด้วยไปนวดคลายปวยเมื่อยพร้อมช๊อปปิ้งพวกผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างแชมพู สบู่ ครีมำรุงผิวที่ รพ. อภัยภูเบศร จากนั้นก้็ไปต่อที่พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ พิพิธภัณฑ์ของเก่าที่มีของเก่านับเป็นหมื่น ๆ ชิ้นเลยอ่ะค่ะ สุดท้ายก็จะไปกินมื้อเย็นที่ร้านชมชล ร้านอาหารริมน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ รพ. อภัยภูเบศร ก่อนจะไปอาบน้ำอาบท่าและพักผ่อนที่โรงแรมสันติสุข เพลสนะคะ
ส่วนวันที่สอง พิมก็กะว่าจะตื่นให้เช้านิ๊ดดดนึง แล้วไปหาต้มเลือดหมูกับข้าวมันไก่อร่อย ๆ กินที่ร้าน ก. ก้าวหน้าอ่ะค่ะ (จริง ๆ อยากกินอาหารพื้นถิ่นมากกว่า แต่เช้า ๆ ไม่มีใครค่อยทำขายนะคะ) จากนั้นก็จะไปดูดอกไม้สวย ๆ ที่ดาษดาแกลอรี่อ่ะค่ะ และพอดูดอกไม้จบก็จะไปเล่นน้ำตกกันแบบชิว ๆ กะคุณสามีสองคนที่น้ำตกตะคร้อนะคะ (ได้ข่าวว่าน้ำตกที่นี่สวยมากกก) แล้วก็จะไปหาอาหารกลางวันอร่อย ๆ กินที่ร้านครัวบ้านเนินน้ำ ซึ่งมีเมนูเด็ดคือผัดผักกระเฉดชะลูดน้ำอ่ะค่ะ สุดท้ายก็จะไปแถว ๆ บ้านโง้ง ไปดูผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ที่ชาวบ้านเค้าทำขาย เผื่อได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับไปฝากแม่บ้าง ..... ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ อ่ะค่า ^__^
ทริปนี้ของพิมเกิดขึ้นเมื่อช่วงประมาณวันที่ 20 กว่า ๆ ของเดือนสิงหาที่ผ่านมานะคะ หลังจากอาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พิมกับคุณสามีก็ออกเดินทางจากบ้าน แล้วตรงดิ่งไปปราจีนบุรีเลยอ่ะค่ะ
จุดหมายแรกของพิม อยู่ที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์ ซึ่งอยู่ในเส้นทางที่จะพิมจะเดินทางเข้าไปยังปราจีนบุรีพอดีเลยนะคะ ^__^
พูดถึงจังหวัดปราจีนบุรีแล้ว หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าสัญลักษณ์ของจัุงหวัดปราจีนบุรีก็คือ ต้นโพธิ์ ที่อยู่ในบริเวณวัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์อ่ะค่ะ
โดยต้นโพธิ์ที่อยู่ในวัดศรีมหาโพธิแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นต้นโพธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยเลยนะคะ เพราะมีอายุกว่า 2000 ปีแล้วอ่ะค่ะ โดยต้นโพธิ์ต้นนี้เนี่ย สมัยที่ขอมยังเรืองอำนาจ เจ้าเมืองศรีมโหสถในสมัยนี้ ท่านได้ส่งคณะฑุตไปขอกิ่งต้นโพธิ์จากต้นพระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าตรงตัสรู้นะคะ แล้วก็นำกิ่งโพธิ์กิ่งนั้นเนี่ยมาปลูกที่วัดแห่งนี้ และให้ชื่อวัดว่าวัดต้นโพธฺ์ศรีมหาโพธิ์อ่ะค่ะ ^_^
จากวัดต้นโพธิ์ จุดหมายถัดไปของพิมก็คือ ชมรอยพระพุทธบาทที่โบราณสถานสระมรกตนะคะ ซึ่งอยู่ห่างจากวัดต้นโพธิ์ไปแค่ประมาณ 10 นาทีกว่า ๆ เท่านั้นเองค่ะ
โบราณสถานสระมรกต เป็นโบราณสถานสมัยยุคทวาราวดีและยุคขอมที่คาดว่าน่าจะสร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. 1400-1800 นะคะ โดยจุดที่น่าสนใจมากๆ และพิมว่าไม่ควรพลาดที่จะไปชมเลยก็คือ "รอยพระพุทธบาทคู่” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นรอยพระพุทธบาทเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยอ่ะค่ะ
รอยพระพุทธบาทคู่แห่งนี้เป็นรอยรูปสลักในพื้นหินศิลาแลงธรรมชาตินะคะ โดยรูปสลักจะมีรูปร่างคล้ายรอยเท้ามนุษย์ แต่มีขนาดใหญ่มาก ก็เลยมีความเชื่อกันว่านี่คือรอยพระพุทธบาตรอ่ะค่ะ ซึ่งชาวบ้านในบริเวณนี้รวมไปถึงนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่น ต่างให้ความเคารพศรัทธารอยพระพุทธบาตรคู่แห่งนี้มาก จึงทำให้แต่ละวันมีผู้คนเข้ามากราบได้รอยพระพุทธบาตรแห่งนี้เป็นจำนวนมากนะคะ ^_^
จากรอยพระพุทธบาตรคู่ ตอนแรกพิมกะว่าจะขับรถไปยังตลาดหนองชะอมก่อน กะว่าจะไปหาซื้อผักผลไม้แบบชิวๆ เพราะได้ข่าวมาว่าที่นั่นมีผักสดผลไม้สดขายเยอะแยะอ่ะค่ะ แต่เผอิญระหว่างทางคุณสามีเกิดรู้สึกหิวขึ้นมา (สงสัยเมื่อเช้า ข้าวมันไก่ที่ร้านหน้าบ้านจะไม่ค่อยถูกปาก -*-) ก็เลยชวนกันไปหาอะไรทานก่อนเน๊าะคะ
จากรอยพระพุทธบาตรคู่ พิมก็เลยแวะไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวสมุนไพรครูต้อ เพราะเห็นใคร ๆ เค้าก็พากันบอกว่าก๋วยเตี๋ยวของครูต้อ หอมสมุนไพรเอามากๆ สมเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวในเมืองแห่งสมุนไพรเลยอ่ะค่ะ ^^
ร้านก๋วยเตี๋ยวครูต้อเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่ตั้งอยุ่ในบริเวณบ้านของครูต้อเองเลยนะคะ แต่ก็หาไม่ยาก แค่ขับรถผ่านหน้าบ้านครูก็จะเห็นช้ายชื่อร้านตัวโต ๆ แขวนไว้อยู่หน้าทางเข้าร้านแล้วอ่ะค่ะ
ก๋วยเตี๋ยวของครูต้อ เป็นก๋วยเตี๋ยวสูตรสมุนไพรที่ครูต้อจะใช้เครื่องเทศและสมุนไพรหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระวาน กานพลู อบเชย ดอกจันทน์ ขิง ข่า ใบเตย มาผสมลงในน้ำซุปนะคะ ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้เนี่ยนอกจากจะให้สรรพคุณทางยาแล้ว ก็ยังทำให้น้ำซุปมีกลิ่นหอม และทำให้รสของน้ำซุปนั้นนุ่มนวลขึ้นอีกด้วยอ่ะค่ะ
ก๋วยเตี๋ยวของครูต้อ มีทั้งก๋วยเตี๋ยวหมู และก๋วยเตี๋ยวเนื้อนะคะ ซึ่งแน่นอนว่ามาถึงร้านที่มีก๋วยเตี๋ยวเนื้อทั้งที คนชอบเนื้ออย่างพิม ก็ต้องสั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อมาลองอ่ะค่ะ (ส่วนคุณสามี ก็กินก๋วยเตี๋ยวหมูไปตามระเบียบจ้า)
ซึ่งเท่าที่พิมได้ชิม ทั้งก๋วยเตี๋ยวหมูและก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ครูต้อทำออกมาได้รสชาติกำลังดีเลยนะคะ ไม่หนักเกิน ไม่เบาเกิน และก็ไม่เข้มข้นเกินอ่ะค่ะ อีกทั้งยังหอมกลิ่นสมุนไพรมากๆ แต่จะหอมแบบอ่อน ๆ นะคะ ส่วนพวกเนื้อตุ๋น หมูตุ๋น หมูหมัก เนื้อสด ครูต้อก็ตุ๋นและลวกมาแบบสุกนุ่มกำลังดีเลยอ่ะค่ะ สรุปแล้วมาทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านนี้ บอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังนะคะ ^^
หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวร้านครูต้อกันจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังจุดหมายถัดไปแล้วอ่ะค่ะ ^_^
จากร้านก๋วยเตี๋ยวครูต้อ พิมก็ชวนคุณสามีขับรถตรงดิ่งไปที่ตลาดผลไม้หนองชะอมเลยนะคะ ซึ่งตลาดผลไม้หนองชะอมเนี่ยก็เป็นตลาดผักผลไม้ที่มีชื่อมาก ๆ ของจังหวัดปราจีนบุรีเลยอ่ะค่ะ ตัวตลาดจะตั้งอยู่ตรงสี่แยกหนองชะอม บนทางหลวงหมายเลข 33 ที่จะมุ่งหน้าจากปราจีนไปยังอำเภอปากพลีของจังหวัดนครนายกนะคะ เรียกว่าถ้ามาจากปราจีนแล้วจะไปนครนายก จะต้องผ่านตลาดนี้แน่นอนอ่ะค่ะ
ตลาดหนองชะอม เป็นตลาดที่สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นผักกับผลไม้ตามฤดูกาลนะคะ อย่างถ้าสมมติว่าเพื่อนๆ มาตลาดนี้ในช่วงเดือนพฤษภา-มิถุนา เพื่อน ๆ ก็จะเจอกับกองทัพเงาะ มังคุด ลองกอง ลางสาด กระท้อน ทุเรียนมากมายเลยอ่ะค่ะ เรียกว่าถ้าสมมติมีแผงขายสัก 50 แผง ก็จะเจอกับแผงผลไม้พวกนี้ไป 30 กว่าแผงแล้วนะคะ ^^ แต่ถ้าสมมติว่าเพื่อนๆ มาตลาดในช่วงนี้ (ฤดูฝน) เพื่อน ๆ ก็เจอกับกองทัพหน่อไม้ ทั้งหน่อไม้ไผ่ตง ไผ่หวาน ไผ่กิมจู และพืชผักสด ๆ ต่าง ๆ อีกมากมายเช่นกันอ่ะค่ะ
แถมที่นี่นอกจากจะมีสินค้าประเภทผักผลไม้ที่หลากหลายแล้ว หลายอย่างก็ยังราคาถูกมากๆ ด้วยเช่นกันนะคะ อย่างชะอมตำลึง ถ้าสวย ๆ แบบในภาพด้านล่างนี้ แุถวบ้านพิมขายกันอยู่ที่กำละประมาณ 15-20 บาท แต่ที่หนองชะอมนี่กำละแค่ 10 บาทเท่านั้นเองอ่ะค่ะ
ที่สำคัญผักหลายๆ อย่างของที่นี่เช่น ผักแพว ผักหนาม น้ำเต้า เป็นผักพื้นบ้าน ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องของสารพิษตกค้างเลยนะคะ เพราะผักพวกนี้เนี่ยเป็นผักที่ทนต่อโรค ทนต่อสภาพแวดล้อม ทนต่อแมลง ก็เลยทำให้คนปลูกไม่ค่อยได้ใส่ปุ๋ยฉีดยา ผักพวกนี้ก็เลยกลายเป็นผักปลอดสารพิษไปโดยอัตโนมัติอ่ะะค่ะ ^^
และนอกจากผักผลไม้แล้ว ที่ตลาดหนองชะอมก็ยังมีสินค้าอย่างอื่นขายอีกด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นปลาร้า ปลาส้ม แหนม กระเทียมโทนดอง ขิงดอง น้ำปลา รวมไปถึึงน้ำผึ้งอ่ะค่ะ และแม้ว่าสินค้าพวกนี้เนี่ยจะไม่ได้ผลิตขึ้นที่จังหวัดปราจีนบุรีเอง แต่เท่าที่พิมซื้อมาลองทานดู (ปลาส้มไร้ก้าง กับปลาร้า) ก็รสชาติใช้ได้ดีทีเดียว และสามารถซื้อเป็นของขวัญของฝากได้เลยนะคะ ^^
จากตลาดหนองชะอม เดินช๊อปปิ้งกันจนเมื่อยขาเมื่อยตัวแล้ว เราก็ไปหาเรื่องนวดขานวดตัว และช๊อปปิ้งพวกสินค้าสมุนไพรกันต่อที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรดีกว่าอ่ะค่ะ
พูดถึง รพ. เจ้าพระยาอภัยบูเบศรแล้ว พิมเชื่อว่าน่าจะมีหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ คือโรงพยาบาลสมุนไพรแห่งแรกของประเทศไทยนะคะ โดยเมื่อสัก 30 ปีก่อน สมัยที่ รพ. ยังมีการรักษาแบบแพทย์แผนใหม่แต่เพียงอย่างเดียว มีเจ้าหน้าที่ รพ. คนนึง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องการนำสมุนไพรมาทำเป็นยา ได้ใช้ความรู้ของตัวเองร่วมกับกุมารแพทย์ประจำ รพ. พัฒนายาสมุนไพรขึ้นมาตัวนึง ก็คือ "กลีเซอรีนเสลดพังพอนตัวเมีย" เพื่อไว้ใช้รักษาโรคเริมในปากให้กับเด็กอ่ะค่ะ ซึ่งถือได้ว่านั่นคือ ครั้งแรกของการผลิตยาสมัยใหม่ที่ใช้สมุนไพรไทยเลยนะคะ และหลังจากนั้นทาง รพ. ก็ได้มีการผลิตทำการผลิตยา รวมถึงเครื่องสำอาง อาหารประเภทเครื่องดื่มจากสมุนไพรไทยตัวอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วยค่ะ
โดยการผลิตยาจากสมุนไพรไทย ของ รพ. เจ้าพระยาอภัยบูเบศรทุกตัว จะผลิตจากโรงงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ GMP นะคะ ดังนั้นแล้วผลิตภัณฑ์ของที่นี่จึงปลอดภัยหายห่วง เพราะทั้งเครื่องจักรสำหรับผิด เครื่องมือตรวจวิเคราะห์คุณภาพ รวมไปถึงห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ได้รับรองมาตรฐานมาอย่างต่อเนื่องอ่ะค่ะ ^_^
แต่ก่อนที่เราจะไปเดินช๊อปปิ้งสินค้าที่ทำจากสมุนไพรของ รพ. อภัยภูเบศรกัน พิมก็อยากจะชวนเพื่อน ๆ ไปเดินชม #ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ตึกเก่าที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2542 เพื่อเป็นที่ประทับแรมของรัชการที่ 5 กันก่อนนะคะ โดยตึกนี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ของ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรค่ะ เป็นตึกสีเหลืองสไตล์ย้อยนยุค ที่มีรูปแบบการก่อสร้างในลักษณะของสถาปัตยกรรมยุโรปแบบบาโร้คนะคะ (เป็นยังไง ย้อนดูภาพด้านบนหรือเลื่อนลงไปดูภาพด้านล่างได้เลยอ่ะค่ะ ^_^)
โดยในปัจจุบัน ตัวตึกส่วนนึงถูกนำมาใช้เป็นสถานที่จัดแสดงประวัติของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร รวมถึงจัดแสดงของใช้ประจำตัวของพระองค์ท่านนะคะ และอีกส่วนก็ถูกนำมาจัดเป็น "พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร" ซึ่งในนั้นก็จะมีการจัดแสดงตู้เก็บสมุนไพร ครกบดยา รางบดยา หินฝนยา ตำรายาไทย ฯลฯ และอื่นๆ อีกมากมายอ่ะค่ะ ^_^
นอกจากการให้บริการในเรื่องของยาสมุนไพรแล้ว ที่นี่ก็ยังมีบริการนวดไทยอีกด้วยนะคะ โดยเอกลักษณ์การนวดของที่นี่ คือ การนวดแบบผสมผสานศาสตร์ระหว่างการนวดแบบราชสำนัก (สุภาพ ปลอดภัย) กับการนวดเชลยศักดิ์ (ดัด ยืด คลึง คลาย) อ่ะค่ะ และการนวดของที่นี่ไม่ใช่ว่าแค่นวดให้จบ ๆ หมดชั่วโมงไป แต่จะนวดเพื่อรักษาและฟื้นฟูสภาพร่างกายที่ผิดแปลกไปของคนไข้แต่ละคน เช่น ท้องผูก กะบังลมหย่อน ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ ให้กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมนะคะ ^_^
ซึ่งจากที่พิมเคยมานวดตัวที่นี่เมื่อครั้งก่อน บอกตามตรงว่าติดใจมากค่ะ เพราะจากอาการที่เคยเจ็บหลังเพราะนั่งผิดท่า ปวดขาเพราะเดินเยอะ หลังจากนวดเสร็จไม่นาน อาการปวดก็เบาลงอย่างรู้สึกได้เลยนะคะ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าวันนี้สุขภาพร่างกายพิมไม่เอื้ออำนวยกับการนวดสักเท่าไหร่อ่ะค่ะ คือความดันสูงเกินมาตรฐานไปนิ๊ดดดด ทาง รพ. เค้าก็เลยไม่รับนวด เนื่องจากเกรงจะเป็นอันตรายต่อร่างกายนะคะ T___T ซึ่งแม้พิมจะเสียใจ ที่อุตส่าห์ขับรถมาถึงที่นี่แล้ว กลับไม่ได้นวด >_< แต่อีกมุมนึง พิมก็รู้สึกสบายใจที่ทาง รพ. เค้าไม่ได้มุ่งไปแต่เรื่องเงิน แต่กลับคำนึงถึงความปลอดภัยของคนไข้มากกว่าอ่ะค่ะ ^^
(ภาพบรรยากาศในห้องนวดตัว ที่พิมถ่ายไว้เมื่อครั้งที่แล้ว)
เอาล่ะ ในเมื่อนวดตัวไม่ได้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว เราก็ไปช๊อปปิ้งสินค้าสมุนไพรของทาง รพ. กันดีกว่าเน๊าะคะ ^_^ ซึ่งจุดช๊อปปิ้งสินค้าของทาง รพ. เท่าที่พิมเห็นมาก็มีอยู่ 2 จุดอ่ะค่ะ นั่นก็คือจุดที่อยู่ในตึกอภัยภูเบศร (ตึกสีเหลือง ๆ หลังเมื่อกี้) กับจุดที่อยู่ใต้ตึกอาคารโรงพยาบาลนะคะ (เข้าประตู รพ. มา จะอยู่ฝั่งซ้ายมือ) ซึ่งถ้าเพื่อนๆ สนใจเป็นยาสมุนไพรแบบแผนโบราณ พิมแนะนำให้ไปที่ตึกอภัยภูเบศรเลยอ่ะค่ะ (เพราะพิมเห็นมีลิ้นชักยาโบราณอยู่เยอะ) แต่ถ้าสนใจเป็นยาแผนปัจจุบันที่ใช้สมุนไพรไทย หรือเป็นสินค้าอื่น ๆ เช่น แชมพู สบู่ ยาสระผม ครีมทาผิว ทาตัว ยาสีฟัน ชาสมุนไพรชงดื่ม เครื่องดื่ม ที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร ก็ไปเลือกซื้อได้ที่ศูนย์สมุนไพรเพื่อสุขภาพอภัยภูเบศร ที่ตั้งอยู่ใต้ตึกอาคารโรงพยาบาลเลยนะคะ มีให้ช๊อปปิ้งเพียบเลยค่ะ
โดยสินค้าที่เวลาพิมมาที่นี่แล้วมักจะซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากเพื่อน ฝากคนรู้จัก ฝากที่บ้าน รวมถึงใช้เองอยู่เสมอ ๆ ก็จะเป็นพวกยาสีฟัน แชมพู ครีมอาบน้ำสมุนไพร ยาดม และก็ชาสมุนไพรชงดื่มนะคะ โดยเฉพาะครีมทาตัวเนี่ย พิมจะชอบซื้อไปหลาย ๆ กลิ่นเลยอ่ะค่ะ ประมาณว่าวันนี้อารมณ์นึงก็ทาด้วยโลชั่นกลิ่นนึง พอพรุ่งนี้เปลี่ยนเป็นอีกอารมณ์นึง ก็ทาโลชั่นอีกกลิ่นนะคะ ^^" โดยกลิ่นที่พิมชอบมากสุด ก็คือกลิ่นตะไคร้ต้น (คนละอย่างกับตะไคร้ที่เราเอามาทำเป็นเครื่องแกง) กับกลิ่นขมิ้นอ่ะค่ะ ^_^
จาก รพ. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร หลังจากช๊อปปิ้งเสียสะตุ้งสะตังค์กันเป็นที่สบายใจแล้ว ^^ จุดหมายถัดไปของพิมก็อยู่ที่ #พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์ ซึ่งอยู่ห่างจาก รพ. อภัยภูเบศร เพียงแค่ 10 กว่านาทีเท่านั้นเองนะคะ
พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์ หรือที่หลาย ๆ คน รู้จักกันในชื่อทั่วไปว่า "พิพิธภัณฑ์ตะเกียง" เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่เก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในสมัยโบราณไว้มากมาย โดยเฉพาะตะเกียงเจ้าพายุ ที่มีมากกว่า 10,000 ดวงเลยนะคะ
ซึ่งตอนแรกที่พิมหาข้อมูลของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เนี่ย บอกตามตรงว่าพิมนึกภาพไม่ออกนะคะ ว่าตะเกียง 10,000 ดวง มันจะมากน้อยสักแค่ไหน จนกระทั่งได้มาเห็นกับตาตัวเองจริง ๆ ถึงได้รู้ว่ามันเยอะมากเลยอ่ะค่ะ เยอะจนทำให้พิมแอบสงสัยว่าเจ้าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เค้าทำอาชีพอะไร หรือมีความเกี่ยวข้องกับตะเกียงพวกนี้ยังไง ถึงได้มีการสะสมตะเกียงไว้มากถึงขนาดนี้นะคะ ^^
และเท่าที่พิมได้คุยกับเจ้าหน้าที่ที่พาพิมเดินชมพิพิธภัณฑ์ เค้าก็เล่าให้พิมว่า เจ้าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ชื่อคุณณรงค์อ่ะค่ะ แต่เดิมเมื่อสัก 30 กว่าปีก่อน คุณณรงค์ก็เป็นพ่อค้ารับซื้อของเก่าทั่วไปนะคะ พวกกาละมัง หม้อ ไห ตู้เตียงอะไรทำนองนี้อ่ะค่ะ จนเมื่อประมาณสัก 30 กว่าปีก่อน ในช่วงที่ปราจีนบุรีมีไฟฟ้าใช้ทั้งตามในบ้านและถนนหนทาง ก็เลยทำให้ชาวบ้านพากันเอาตะเกียงเจ้าพายุที่เคยใช้อยู่ในชีวิตประจำวันมาขายเป็นของเก่าให้กับคุณณรงค์นะคะ ตอนแรก ๆ คุณณรงค์ก็ไม่ค่อยได้สนใจค่ะ พอได้มาก็เอาไปขายเป็นเศษเหล็กทั่วไปนะคะ แต่พอมาในระยะหลังๆ มีคนติดต่อมาขอซื้อเป็นดวง ๆ เพื่อเอาไปทำเป็นของตกแตงบ้าน คุณณรงค์จึงนำตะเกียงออกมาแยกขายต่างหาก และด้วยความที่ขายดีมาก จากเดิมที่เคยมีเยอะ ก็เลยกลายเป็นเหลือน้อยลง ทำให้คุณณรงค์คิดได้ว่าควรจะเก็บสะสมเอาไว้ให้เด็กรุ่นหลังได้ดูบ้าง ก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อ่ะค่ะ
โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เนี่ย นอกจากตะเกียงแล้ว ก็ยังมีข้าวของโบราณที่ถูกสะสมไว้และนำมาจัดแสดงอีกมากมายนะคะ ไม่ว่าจะเป็นตู้เก่า เตียงโบราณ นาฬิกา จักรยาน ของเล่น เครื่องใช้ในครัวในบ้านในสำนักงานอีกมากมายหลายชนิดอ่ะค่ะ
โดยข้าวของทั้งหมด เพื่อความเข้าใจง่าย คุณณรงค์ก็ได้แบ่งจัดแสดงไว้ในอาคาร 5 หลังนะคะ เริ่มจากหลังแรกคืออาคารราชาวดี ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น ก็จะเป็นโซนที่จัดแสดงของเก่าโบราณ อย่างเช่น เครื่องเงิน เครื่องทองเหลือง ถ้วยชาม นาฬิกาโบราณ ทั้งแบบแขวนและแบบตั้ง ของใช้ต่างๆ รวมทั้งเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณอีกมากมาย ที่เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนน่าจะไม่เคยเห็นมาก่อนอ่ะค่ะ
ส่วนอาคารหลังที่ 2 ก็คือ อาคารลีลาวดี อาคารนี้จะเป็นที่จัดแสดงพวกถ้วยชามโบราณ เตา หม้อไหแบบโบราณ ถาดกระเบื้อง เครื่องทองเหลือง รถจักรยานและรถจักยานยนต์แบบเก่าๆ ของเล่นสีกะสีเก่า ๆ สามล้อถีบ เครื่องคำนวณ ตราชั่ง รวมไปถึงพระเครื่อง พระผง และพระดัง ๆ ของจังหวัดปราจีนบุรีนะคะ
ส่วนอาคารหลังที่ 3 คืออาคารชวนชม อาคารหลังนี้จะจัดแสดงในเรื่องของรูปเก่าของเมืองปราจีนบุรีในสมัยก่อนอ่ะค่ะ และนอกจากรูปเก่า ก็ยังมีหนังสือเก่า เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร หนังสือการ์ตูน ล๊อตเตอรี่เก่า แสตมป์เก่า รวมไปถึงแบบเรียนตั้งแต่สมัยปี 2515 อีกด้วยนะคะ
ส่วนอาคารหลังที่ 4 คือ อาคารเจ้าพายุ เป็นอาคารที่สร้างให้มีลักษณะรูปทรงเหมือนตะเกียงเจ้าพายุอ่ะค่ะ ตัวอาคารจะมีความสูงประมาณ 13 เมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวคนไหนที่อยากจะขึ้นไปชมวิวเมืองปราจีนบุรีในมุมสูง ก็สามารถเดินขึ้นไปชมวิวโดยรอบได้เลยนะคะ
และอาคารหลังสุดท้าย คือ อาคารฟ้าประดิษฐ์ค่ะ เป็นอาคารที่ไว้ใช้จัดแสดงเรือเก่าหลากหลายชนิดเลย ทั้งเรือขุดที่ทำจากต้นตะเคียน และเรือขุดที่ทำจากต้นสักทั้งต้นนะคะ รวมไปถึงใครที่ไม่เคยเห็นเตารีดแบบที่ใส่ถ่านก้อนดำๆ ที่เราเอาไว้หุงข้าวต้มแกง (ไม่ใช่ถ่านไฟฉายนะ) ก็สามารถมาดูได้ที่นี่เลยค่ะ ^_^
พูดถึงพิพิธภัณฑ์ที่ของใช้เก่าๆ ในเมืองไทยเนี่ย จะว่าไปก็มีอยู่หลายที่นะคะ แต่หลังจากที่พิมได้เดินดูที่นี่จนครบทุกส่วน พิมประทับใจกับที่นี่มากสุดเลยอ่ะค่ะ เหตุผลเพราะที่นี่เค้าจัดวางของต่าง ๆ ไว้ในระดับที่เราสามารถเห็นได้ใกล้ ๆ ทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับของสิ่งนั้นนะคะ แถมชิ้นไหนที่แลดูแล้วน่าสนใจมาก ทางพิพิธภัณฑ์เค้าก็มีป้ายแสดงรายละเอียดเอาไว้ให้เราอ่านอีกด้วยอ่ะค่ะ ซึ่งพิมว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากๆ ดังนั้นถ้าเพื่อน ๆ คนไหนสนใจ ก็อย่าลืมเข้ามาชมกันนะคะ ค่าเข้าผู้ใหญ่เพียงแค่ 80 บาทและเด็ก 30 บาทเท่านั้นเองอ่ะค่ะ หรือถ้าเพื่อน ๆ อยากดูรายละเอียดในส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม ก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ https://www.facebook.com/yusuksuwan หรือไม่ก็โทรไปที่เบอร์ 037-217551 037-217552 081-2958218 ก็ได้เช่นกันนะคะ
เวลาทำการ : เปิดทำการทุกวัน 09.00 น. - 17.00 น.
จากพิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์ เหลือบมองดูนาฬิกา ปาเข้าไป 5 โมงเย็นกว่า ๆ ก็ได้เวลาท้องหิวอีกแล้ววววววอ่ะค่ะ สำหรับมื้อเย็นวันนี้ พิมก็ขอฝากท้องไว้ที่ร้านชมชล ร้านอาหารริมน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ กับ รพ. เจ้าพระยาอภัยภูเบศรนะคะ ^_^
ร้านอาหารชมชลเป็นร้านอาหารไทย สไตล์แบบนั่งทานสบาย ๆ ที่ริมน้ำอ่ะค่ะ ..... จริงๆ ในโซนริมน้ำหน้า รพ. อภัยภูเบศร มีร้านอาหารน่าสนใจมากมายหลายร้านเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นร้านร่มไม้ ร้านริมน้น้ำ ร้าเจ๊แม๊ว แต่เหตุผลที่พิมเลือกมานั่งทานที่ร้านชมชล ก็เพราะมีคนบอกพิมว่าที่นี่มีเค้ามีต้มยำปลาตะโกก ซึ่งเป็นปลาแม่น้ำแถวนี้ และรสชาติดีมากๆ อ่ะค่ะ
แต่น่าเสียดายว่าวันที่พิมไป ปลาตะโกกหมด T__T คนหาปลาเค้ายังไม่เอาปลาตะโกกมาส่ง พิมก็เลยจำเป็นต้องสั่งเมนูอื่นมาทานแทนนะคะ >_<
เริ่มกันที่จานแรกเป็นถั่วฝักยาวผักกะปิใส่กุ้งอ่ะค่ะ จานนี้หน้าตาธรรมดาเหมือนไม่มีอะไร แต่พิมว่ารสชาติดีเลยนะคะ ที่สำคัญถั่วฝักยาวเค้าผัดมาได้ดีงามมาก คือ สุก แต่ยังกรอบอยู่ และไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวของถั่วฝักยาวเลยสักนิดค่ะ
ส่วนจานที่ 2 เป็นปลาทับทิมลุยสวนนะคะ ตอนแรกพิมไม่คิดว่าจะสั่งเมนูนี้มาทานเลยอ่ะค่ะ เพราะว่าทำกินที่บ้านบ่อยมาก ^^" แต่น้องพนักงานเค้าก็บอกว่า ปลาทับทิมของที่นี่สดมาก เพราะเลี้ยงกันอยู่หน้าร้านเลย แถมยังเป็นปลากระชังอีกต่างหาก ไม่เหม็นคาว ไม่มีกลิ่นดิน .. พิมก็เลยลองสั่งมาทานดู ปรากฎว่าอร่อยดีนะคะ ตัวปลาทอดมาแบบกรอบนุ่ม ส่วนน้ำลุยสวนรสชาติก็เข้มข้น หอมเครื่องและเปรี้ยวมะม่วงดีอ่ะค่ะ
ต่อมาจานที่ 3 เป็นคอหมูย่างรมควันนะคะ ตามความเข้าใจของพิม น่าจะเป็นการเอาคอหมูไปหมักย่าง แล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ ก่อนจะนำไปย่างอีกทีอ่ะค่ะ รสชาติโดยรวมก็จะหวานเค็ม แต่รสไม่จัดมาก ทานเล่น ๆ ก็อร่อย ทานจริงจังก็ดีนะคะ ^^
ส่วนจานที่ 4 จานสุดท้าย .... อันนี้เป็นเมนูที่พิมสั่งมาแทนต้มยำปลาตะโกก นั่นก็คือ ต้มยำปลาคังนะคะ ซึ่งต้มยำปลาคังของที่นี่ก็รสชาติใช้ได้ ปลาไม่คาว เนื้อไม่เละ รสของต้มยำก็จัดจ้านตามประสาต้มยำแบบไทย ๆ โดยรวมแล้วสั่งมาทานได้ ไม่ผิดหวังอ่ะค่ะ
และนี่ก็คือหน้าตาของอาหารมื้อนี้ ของพิมกับคุณสามีนะคะ สนนราคารวมน้ำแข็งถังใหญ่ น้ำเปล่าและข้าวสวย อยู่ที่ประมาณ 800 บาท .... ดูเหมือนจะสูงไปนิดสำหรับการทาน 2 คน แต่ก็เป็นมื้อที่อิ่มอร่อยมากเลยอ่ะค่า ^_^
จากร้านชมชล พิมก็ไม่มีแผนไปไหนต่อนะคะ เพราะว่าวันนี้เที่ยวกันมาทั้งวันเลย ตั้งแต่เช้ายันค่ำ พอถึงตอนนี้ก็หมดแรงแล้วอ่ะค่า เพราะงั้นแล้วหลังจากกินข้าวเสร็จ พิมก็ตรงดิ่งไปยังที่พักในคืนนี้เลยยะคะ ซึ่งที่พักที่พิมจองเอาไว้ก็คือ สันติสุข เพลส ที่อยู่ห่างจากร้านชมชลไปประมาณ 20 กว่านาทีอ่ะค่ะ
** ราคาห้องพักคืนละ 600 บาท
แต่เนื่องจากว่าสันติสุขเพลส เป็นที่พักเล็ก ๆ มีขนาดห้องพักแค่ประมาณสิบห้อง แถมถนนหน้าที่พัก ก็ยังมึดแบบไม่มีไฟนะคะ (แต่ในที่พัก ไฟสว่าง และปลอดภัยมาก) เพราะงั้นถ้าเพื่อน ๆ จะมาพักที่นี่เหมือนกับพิม แนะนำว่าให้ตั้งพิกัดใน googles map มา รับรองไม่หลงแน่นอนค่ะ
ส่วนคืนนี้ พิมก็ขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าและนอนหลับพักผ่อนก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวไว้พรุ่งนี้ พิมจะไปเที่ยวที่ไหน ไปกินอะไร ...... พิมจะมาเล่าให้ฟังอีกที สวัสดีค่า ^_^