หลังจากที่เมื่อวานพิมกับคุณสามีเที่ยวกันจนเหนื่อย และเมื่อคืนเราก็นอนหลับเป็นตาย เอ๊ย...ย นอนหลับกันอย่างเต็มอิ่ม เช้านี้พิมกับคุณสามีก็พร้อมแล้วสำหรับการเดินทางเที่ยวต่อล่ะค่า ^_^
แต่ก่อนจะไปเที่ยวต่อ สุภาษิตไทยเค้าบอกเอาไว้ว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องนะคะ เพราะงั้นเช้านี้หลังจากที่พิมอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวพร้อมเช็คเอ้าท์เรียบร้อยแล้ว พิมกับคุณสามีก็ขอไปฝากท้องกันที่ร้าน ก.ก้าวหน้า อ่ะค่ะ
ร้าน ก. ก้าวหน้า เป็นร้านขายต้มเลือดหมุกะข้าวมันไก่ที่อยู่ใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟปราจีนบุรีนะคะ อยากจะเล่าให้ฟังว่าตอนแรกพิมก็ไม่รู้ค่ะว่าพิกัดแน่นอนของร้าน ก.ก้าวหน้านี่อยู๋ตรงไหน พิมก็เลยพิมพ์ชื่อร้านลงไปใน google maps แล้วให้ google maps พาไป ปรากฎว่าโดน google หลอกค่าาา (จริง ๆ คือ มีคนตั้งพิกัดไว้ผิด) เพราะตำแหน่งที่ google พาไป มันเลยจากหน้าร้านไปหลายกิโลเลยนะคะ T__T เพราะงั้นแล้วถ้าเพื่อน ๆ จะมาร้าน ก. ก้าวหน้า แนะนำว่าให้พิมพ์ "สถานีรถไฟปราจีน" ลงใน google maps แทน ไม่งั้นอาจจะหลงเหมือนพิมแน่นอนจ้า
และเมื่อมาถึงร้าน ก.ก้าวหน้า เมนูที่พิมต้องสั่งก็คงหนีไม่พ้นต้มเลือดหมู กะข้าวมันไก่เน๊าะคะ
สำหรับต้มเลือดหมูเนี่ย เท่าที่พิมได้ชิมนะ (เอาตามความรู้สึกพิม) พิมว่ารสชาติโอเคเลยค่ะ อย่างน้อยก็ดีกว่าหลาย ๆ ร้านที่พิมได้เคยกินมา ตัวเครื่องในหมู่ ไม่ว่าจะเป็นตับ ไส้ เซ่งจี้ และอื่นๆ เค้าก็ลวกมาได้ดีเลยอ่ะค่ะ และเหมือนว่าลวกแค่พอใช้ประมาณนึง ไม่ได้ลวกทิ้งไว้คราวละทีเยอะๆ เครื่องในก็ยังนุ่มอยู่นะคะ
ส่วนข้าวมันไก่ จริง ๆ แล้วเป็นเมนูที่พิมไม่ได้ชอบทานเลยค่ะ แต่คุณสามีพิมเค้าบอกว่าอยากจะลองกินดู ก็เลยสั่ง ปรากฎว่าก็อร่อยดีนะคะ ตัวข้าวมันของที่นี่เค้าทำมาแบบหนึบ ๆ แล้วก็มีกลิ่นหอมของน้ำมันไก่โอเคเลยอ่ะค่ะ ส่วนไก่เค้าก็สับมาไม่ทุบ เนื้อไก่ยังเป็นชิ้นหนา ๆ อยู่ ส่วนน้ำจิ้มที่เป็นไอเท็มสำคัญที่จะทำให้ข้าวมันไก่อร่อยหรือไม่อร่อย ก็ทำรสชาติออกมาได้ดีนะคะ ออกเปรี้ยว เผ็ด เค็มนิด ๆ และไม่ค่อยหวาน ..... สรุปแล้วก็โอเคค่ะ
ส่วนเครื่องดื่มสำหรับเช้านี้ ตอนแรกกะว่าจะกินน้ำเปล่ากัน แต่คุณสามีพิมเค้าเหลือบไปเห็นว่าที่ร้านนี้เค้าขายกาแฟสดกับกาแฟโบราณด้วย ก็เลยอยากสั่งมาลองนะคะ สำหรับอเมริกาโน (ไม่ใส่น้ำตาล) ก็ขมปิ๊ดปี๋เป็นเรื่องปกติอ่ะค่ะ แต่ส่วนโอเลี้ยงของพิม ไม่รู้ว่ามันเป็นสไตล์การชงโอเลี้ยงของทางปราจีนนี่หรือเปล่า เพราะตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้พิมซื้อโอเลี้ยงไป 3 แก้ว รสเดียวกันหมดเลยค่ะ คือ เหมือนน้ำเชื่อมหวานๆ ที่ใส่หางโอเลี้ยง .... สำหรับพิม จะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะพิมชอบโอเลี้ยงรสหนักๆ ขม ๆ หวานน้อย แต่ถ้าแม่พิมมาด้วยหรือยายพิมมาด้วยเนี่ย ท่าทางจะถูกใจ เพราะสองคนนั้นชอบโอเลี้ยงหวาน ๆ รสประมาณนี้เลยอ่ะค่ะ ^^
แล้วหลังจากทานข้าวทานปลา หาเครื่องดื่มโด๊บกันเป็นที่เรียบร้อย เรี่ยวแรงพิมกับคุณสามีก็เริ่มมาล่ะค่ะ ฮ่าๆ เพราะงั้นจุดหมายถัดไปของพิมก็เลยอยู่ที่ดาษดาแกลอรี่นะคะ ^_^ (แบบว่าที่นี่ต้องเดินเยอะอ่ะ)
ดาษดาแกลอรี่ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นมากๆ ของจังหนึ่งปราจีนบุรีค่ะ ซึ่งเมื่อก่อนเวลาพิมนึกถึงที่ ๆ จะมีดอกไม้สวย ๆ เยอะ ๆ พิมก็จะนึกถึงแต่ภาคเหนือ อย่างดอยตุง อ่างขาง พระตำหนักภูพิงค์ สวนอาหารกาแล ประมาณนี้เน๊าะคะ แบบพิมไม่เคยรู้เลยว่าใกล้ ๆ บ้านพิม อย่างที่ปราจีน จะมีที่ ๆ มีดอกไม้สวย ๆ เหมือนอย่างทางภาคเหนือด้วยอ่ะค่ะ
ดาษดาแกลอรี่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ที่มีฟาร์มดอกไม้ขนาดใหญ๋มากกกกกกกกก มีกลาสเฮ้าส์ มีแกลลอรี่ดอกไม้ขนาดใหญ่ มีสวนสัตว์ที่มีสัตว์น่ารัก ๆ เต็มไปหมด รวมถึงมีรีสอร์ท และร้านอาหารที่มีอาหารทำจากดอกไม้ด้วยนะคะ ^_^
โดยราคาค่าเข้าชมของดาษาเนี่ย จะไม่เท่ากันทั้งปีอ่ะค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงไหนมีอีเว้นท์อะไร และเป็นอีเวนท์ที่ใหญ่มากน้อยขนาดไหนนะคะ อย่างปลายปีที่แล้วที่พิมไป เค้ามีการจัดแสดงดอกไม้ครั้งยิ่งใหญ่ ค่าเข้าชมก็จะอยู่ที่ 200 หรือ 250 บาทนี่แหละค่ะ แต่เมื่อวันสิงหาที่ผ่านมา เค้ามีอีเว้นท์เล็ก ๆ เกี่ยวกับวันแม่ ค่าเข้าชมก็จะอยู่ที่ 120 บาทเท่านะคะ ซึ่งเพื่อน ๆ คนไหนที่สนใจก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียด ได้ที่เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/dasadaflower หรือเวบไซด์ของดาษดา http://www.dasada-happiness.com/ ได้เลยอ่ะค่ะ
นอกจากการจัดแสดงดอกไม้แล้ว ที่ดาษดาเค้าก็ยังสวนสัตว์เล็กๆ ที่เราสามารถเดินเข้าไปชมสัตว์ได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วยนะคะ ซึ่งตรงสวนสัตว์นี่แหละค่ะ อยากบอกว่าเป็นอะไรที่พิมประทับใจมากกกกก เพราะปกติเวลาพิมไปสวนสัตว์ทั่วไปเนี่ย พิมก็จะเห็นแต่ช้าง ลิง เสือ หมี ฮิปโป งู เก้ง กว้าง อะไรทำนองนี้ใช่ไหมคะ แต่ที่สวนสัตว์ของดาษดาเนี่ย อยากจะบอกว่าสัตว์ที่พิมเอ่ยชื่อมา ไม่มีสักตัวเลยอ่ะค่ะ ^^
สัตว์ที่อยู่ในนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ที่ปกติแล้วพิมไม่ค่อยพบเห็นที่ไหน โดยเฉพาะในสวนสัตว์ทั่ว ๆ ไปนะคะ (อาจจะเพราะส่วนนึงของสัตว์ที่นี่เป็นสัตว์ที่นำเข้ามาจากทั่วโลก โดยเฉพาะจีน) แถมสัตว์ที่นี่นอกจากจะเป็นสัตว์ที่ออกไปทางสวยงามน่ารักแล้ว ก็ยังเป็นสัตว์ที่แลดูแข็งแรง สมบูรณ์ และมีความสุขมากๆ อีกด้วยอ่ะค่ะ ^_^
(ได้มีโอกาสให้อาหารไก่งวง เอ๊ยยยย นกยูง ด้วยค่า)
จากสวนสัตว์ .. ถ้าใครหิว หรืออยากหาอะไรเย็น ๆ ดื่ม พิมแนะนำว่าให้เดินมานิดนึงจะเจอกับตลาดลอยน้ำนะคะ ซึ่งตลาดแห่งนี้เนี่ยเป็นตลาดที่ขายของกินล้วนๆ ค่ะ ไม่ว่าจะขนม น้ำ อาหารเบา อาหารหนัก อาหารว่าง มีทุกอย่างหมดเลยนะคะ สนนราคาโดยเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ประมาณจานละ 40-60 บาท อาจจะราคาสูงกว่าตามตลาดทั่วไป แต่พิมว่าได้มานั่งกินบนแพริมน้ำ แถมบรรยากาศรอบด้านก็ยังมีแต่ดอกไม้ต้นไม้สวย ๆ พิมว่าคุ้มเกินคุ้มอ่ะค่ะ ^^
ส่วนใครที่ทานอาหารเสร็จแล้ว และอยากดูโชว์อะไรสวย ๆ ต่อ พิมแนะนำให้ไปที่ Hall B ที่อยู่อีกด้านนึงของตลาดลอยน้ำนะคะ เพราะที่นั่นจะเป็นห้องจัดกิจกรรมการแสดงที่น่าสนใจในแต่ละฤดูกาลอ่ะค่ะ ซึ่งกิจกรรมที่ว่าก็จะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ ไม่ค่อยซ้ำกัน .... เพื่อนๆ ที่สนใจหรืออยากทราบว่าช่วงไหนที่ hall b จะมีกิจกรรมหรือการแสดงอะไรบ้าง ก็สามารถดูรายละเอียดและสอบถามข้อมูลได้ที่เวปไซด์หรือเฟสบุ๊คของดาษาที่พิมให้ไว้ด้านบนเลยนะคะ ^_^
(บรรยากาศภายใน hall B ตอนที่พิมได้ไปดาดษาครั้งแรก)
ส่วนเพื่อนๆ คนไหนที่ไม่อยากดูการแสดงที่พิมว่า แต่อยากจะช๊อปปิ้งต้นไม้ดอกไม้สวย ๆ หรือช่อดอกไม้สวย ๆ หรูหรา กลับไปฝากคนที่บ้าน (หรือจะฝากคนที่ไปด้วยก็ได้นะคะ อิอิ) ก็สามารถแวะไปช๊อปได้ที่ร้านขายต้นไม้ของดาษดาที่อยู่ในบริเวณ hall A เลยอ่ะค่ะ (ในนี้เย็นฉ่ำมากกกก ขอบอกค่า)
ซึ่งต้นไม้ดอกไม้ของที่นี่ ก็มีให้เลือกเยอะสุด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบหิน ต้นคริสมาสต์ กล้วยไม้ ดอกหน้าวัว ต้นสับปะรดสี และอื่น ๆ อีกหลายอย่างนะคะ แถมอาจจะเพราะอากาศ และการดูแลเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่ ต้นไม้ดอกไม้ของที่นี่ ทั้งสี ทั้งจำนวนดอก ทั้งความหนาบางของกลีบดอกและใบ รวมไปถึงความสมบูรณ์ของต้น .... เรียกได้ว่า มันดีงามมาก ๆ เลยอ่ะค่ะ เพราะนั้นแล้วถ้ามาที่นี่ อย่าลืมซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านหรือกลับไปฝากคนที่บ้านสักต้นสองต้นนะคะ แม้ราคาจะสูงนิ๊ดดดดดดดนึง แต่ถ้าเทียบกับความสมบูรณ์แข็งแรงของต้น พิมว่าคุ้มราคาเลยอ่ะค่ะ แต่ที่สำคัญเอาไปปลูกแล้วอย่าทำให้ตายล่ะกันนะคะ ฮี่ๆ
และหลังจากเดินชมความงามของมวลหมู่ดอกไม้ในดาษาเป็นเวลา 2-3 ชม. ก็ได้ฤกษ์ที่พิมจะไปเที่ยวที่อื่นต่อแล้วอ่ะค่า
ด้วยความที่เวลาพิมอ่านหนังสือท่องเที่ยว เค้าก็จะบอกกันว่าปราจีนบุรีเป็นเมืองนึงที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งน้ำตกนะคะ เพราะว่าที่ปราจีนบุรีเนี่ยมีน้ำตกเยอะมากค่า แถมจากที่พิมดูภาพถ่ายของคนอื่น น้ำตกอันนั้นก็สวย น้ำตกอันนี้ก็น่าไป น้ำตกอันโน้นก็มีแอ่งใหญ่ น้ำต้นอันนั้นก็มีดอกไม้สวยมาก แบบว่าอ่านแล้วก็อยากไปซะทุกน้ำตกเลยนะคะ แต่น่าเสียดายว่าทริปนี้ของพิมเป็นทริปแค่ 2 วัน (ก็คนทำงานเน๊อะ แม้จะไม่ได้ทำงานประจำก็ตาม -*-) เพราะงั้นพิมก็คงจะต้องเลือกไปสักน้ำตกแทนอ่ะค่ะ (ไว้วันไหนว่างๆ จะลางานมาเที่ยวสัก 5 น้ำตกเลย แฮ่ๆ)
และแล้วน้ำตกที่พิมตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวในวันนี้ ก็คือ น้ำตกตะคร้อนะคะ เป็นน้ำตกที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ฝั่งปราจีน และที่สำคัญจากที่สืบข่าววงในมา ^^" เค้าบอกว่าตอนนี้น้ำตกมีน้ำเต็มเปี่ยมมมมม เหมาะสำหรับการเล่นน้ำมาก เลยอ่ะค่า (ร่างกายกำลังอยู่ในภาวะต้องการน้ำตกกกกก)
แต่ก่อนจะเข้าไปในน้ำตกตะคร้อ เราก็ต้องเสียค่าบำรุงอุทยานกันก่อนนะคะ ซึ่งไม่แพงเลยค่ะ แค่คนละ 40 บาทเท่านั้นเองจ้า (ถ้าขับรถเก๋ง รถกระบะเข้าไป ก็ค่ารถอีกคันละ 30 บาท) แถมๆๆๆๆ ถ้าสมมติว่าวันนี้พิมไปที่อุทยานแห่งชาติแห่งอื่นต่อ พิมก็สามารถเอาบัตรนี้ยื่นให้ จนท. ที่อุทยานแห่งชาติ แล้วก็เข้าไปชมอุทยานได้เลย โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอ่ะค่า เรียกว่า 40 บาทเที่ยวทุกอุทยานแห่งชาติทั่วไทย (ในวันเดียว) นะคะ ^_^
น้ำตกตะคร้อ .. หลายคนอาจจะสงสัยว่า ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมาเน๊าะคะ ^^ คำว่าตะคร้อเนี่ย ตามความเข้าใจพิม (จริง ๆ คืออ่านจากที่อื่นมา แฮ่ๆ) เค้าบอกเอาไว้ว่า มาจากที่น้ำตกแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ของหมู่บ้านตะคร้ออ่ะค่ะ แล้วถ้าถามว่าแล้วตะคร้อคืออะไร อันนี้พิมไม่เคยถามใครนะคะ แต่พิมพอจะรู้มาบ้างว่าตะคร้อก็คือชื่อของไม้ยืนต้นที่มีขนาดสูงประมาณ 10-25 เมตรอ่ะค่ะ แล้วก็ออกผลมาเป็นผลรูปทรงไข่ขนาดประมาณปลายนิ้วโป้งปลายนิ้วก้อยทำนองนั้นนะคะ โดยผลดิบจะเป็นสีเขียวอ่อนๆ แต่พอสุกปุ๊บบบ ผลจะกลายเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล และเนื้อข้างในเป็นสีส้มทันทีเลยอ่ะค่ะ ^^
ซึ่งจริงๆ สมัยก่อนพิมก็ไม่รู้จักตะคร้อหรอกนะคะ จนเมื่อสัก 3-4 ปีที่แล้ว ตอนพิมไปช่วยแม่ขายของที่ตลาด แผงของแม่ค้าจากปราจีนที่อยู่ถัดแผงแม่พิมไปสัก 2 แผง เค้าก็ทำยำเจ้าลูกเหลือง ๆ กินกัน โดยยำแบบใส่น้ำปลา น้ำตาลทรายนิดนึง และพริกป่นอ่ะค่ะ ตอนนั้นพิมก็ไม่รู้นะคะว่าเจ้าลูกเหลือง ๆ นี่คือลูกอะไร รู้แต่พอแม่ค้าคนนั้นยำปุ๊บ ก็จะมีสาว ๆ แผงหมู แผงผัก แผงขายกิ๊ฟช๊อบ ขายผลไม้ ไปร่วมชุมนุมกินเจ้ายำนั่นกันอย่างเพลิดเพลินเลยอ่ะค่ะ พอพิมเห็นแล้วก็รู้สึกสนใจนะคะ (เรื่องของกิน สนใจทั้งหมด ฮ่าๆ) ก็เลยเดินตามเข้าไปด้วย แล้วพอได้เห็น ก็อยากจะบอกว่ามันเป็นยำที่หน้าตาน่ากินมากจริง ๆ ค่ะ (ตอนนั้นยังไม่ได้คิดถึงรสชาติ) แต่พอได้ชิม อยากจะบอกว่าชิมครั้งเดียวแต่จำจนวันตายเลยนะคะ T___T เพราะไอ้เจ้าลูกเหลือง ๆ เนี่ยมันเปรี้ยวมากกกกกก เปรี้ยวปรี๊ดสุดหัวใจเลยอ่ะค่ะ คนกินเค้าก็เลยต้องเอามาทำเป็นยำ ใส่น้ำปลา น้ำตาล พริกป่น เพื่อตัดรสเปรี้ยวของมันนะคะ .... และจากครั้งนั้นแหละค่ะ ก็เลยทำให้พิมได้รู้จักลูกตะคร้อเป็นครั้งแรกนะคะ ^_^
น้ำตกตะคร้อ ... เป็นน้ำตกที่แปลก ว่าไปแล้วก็หน้าตาไม่ค่อยจะเหมือนน้ำตกทั่วไปอ่ะค่ะ เพราะน้ำตกที่อื่นเนี่ย เค้าก็มักจะเป็นหน้าผาสูงบ้างเตี้ยบ้าง แล้วก็มีน้ำตกไหลลดหลั่นกันมาตามหน้าผาทำนองนั้นเน๊าะคะ แต่น้ำตกตะคร้อเนี่ยจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน คือจะเป็นแก่งน้ำและลำธารใหญ่ โดยที่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นหน้าผาเลยสักชั้นเดียวอ่ะค่ะ
แต่ด้วยความที่น้ำตกตะคร้อมีลักษณะเป็นแบบนี้เนี่ย ก็เลยกลายเป็นสถานที่ๆ ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นน้ำกันนะคะ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน เพราะด้วยความที่น้ำตกมีลักษณะเป็นแอ่งเป็นแก่ง ก็เลยทำให้มีจุดที่สามารถลงไปในนั่งในน้ำตกได้มากมายเลยอ่ะค่ะ ^_^
และสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างนอกจากตัวน้ำตกคร้อแล้ว ก็คือผีเสื้อที่อยู่รอบ ๆ บริเวณน้ำตกตะคร้อ และตามทางเดินที่จะมายังน้ำตกตะคร้อนะคะ ซึ่งผีเสื้อที่นี่เนี่ยแม้จะไม่หลากหลายเท่ากับปางสีดา หรือว่าแก่งกระจานที่พิมไปมาบ่อย ๆ แต่ความสวยก็ไม่แพ้ที่อื่นเลยอ่ะค่ะ โดยถ้าเพื่อนๆ มาที่นี่เนี่ย เพื่อนๆ จะเริ่มเห็นผีเสื้อจับกลุ่มกันอยู่ตามพื้นดินเป็นกลุ่มใหญ่ตั้งแต่จุดที่เราต้องจ่ายค่าบำรุงอุทยานกันเลยนะคะ
และเมื่อขับรถมาถึงลานจอดรถตรงจุดเริ่มต้นเดินไปน้ำตกตะคร้อ บริเวณนั้นก็จะมีผีเสื้ออีกกลุ่มใหญ่ และเป็นคนละสายพันธุ์กับกลุ่มตรงหน้าอุทยานด้วยอ่ะค่ะ
ต่อมาพอเพื่อนๆ เดินมาถึงตัวน้ำตก เพื่อน ๆ ก็จะเจอผีเสื้ออีกหลายกลุ่มแถวบริเวณลานหินรอบ ๆ น้ำตกนะคะ โดยกลุ่มนึงก็มีสัก 20 - 50 ตัวได้อ่ะค่ะ แถมบางกลุ่มเหมือนคุ้นชินกับคนมากนะคะ (หรือไม่รู้จักคนก็ไม่รู้) ประมาณว่าเราเข้าไปใกล้ ๆ แล้ว มันก็ยังไม่บินหนีไปไหน ทำให้เราสามารถเข้าไปนั่งมองผีเสื้อได้ในระยะใกล้เลยอ่ะค่ะ ซึ่งพิมว่าถ้าใครเป็นคนที่ชอบผีเสื้อเนี่ย มาน้ำตกตะคร้อก็เหมือนได้มาสวรรค์ของคนรักผีเสื้อเลยนะคะ ^_^
จากน้ำตกตะคร้อ พิมตรงไปที่อำเภอกบินทร์บุรีต่อเลยอ่ะค่ะ เพราะว่าที่นั่นมีสิ่งนึงที่น่าสนใจมาก เป็นสิ่งที่พิมกำลังตามมา และมีที่กบินทร์บุรีเพียงที่เดียว คือ "ผักกระเฉดชะลูดน้ำ" นะคะ แต่ก่อนจะไปหาซื้อผักกระเฉดชะลูดน้ำกลับไปทำกับข้าวกินที่กรุงเทพฯ พิมก็ขอไปหาอาหารที่ทำจากผักกระเฉดชะลูดน้ำทานกันก่อนดีกว่าอ่ะค่ะ และร้านที่พิมเลือกไปในวันนี้ก็คือร้านครัวบ้านเนินน้ำนะคะ
ร้านครัวบ้านเนินน้ำเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ (หรือเรียกได้ว่าสวนอาหาร) ที่ตั้งอยู่แถวสี่แยกกบินทร์บุรีอ่ะค่ะ ซึ่งจะว่าไปแถวนั้นมีร้านอาหารอร่อยๆ หลายร้านเลยนะคะ แต่ที่พิมเลือกมาที่ร้านครัวบ้านเนินน้ำก็เพราะว่าที่นี่เค้ามีเมนูอร่อยที่ทำจากผักกระเฉดชะลูดน้ำหลายเมนู แถมยังบรรยากาศดี๊ดี ที่จอดรถก็กว้างขวาง (ไม่ต้องกลัวไม่มีที่จอด) พิมก็เลยสนใจอ่ะค่ะ ^^
ในเรื่องของเมนู นอกจากเมนูผักกระเฉดแล้วเนี่ย ที่นี่ก็ยังมีเมนูเด็ด ๆ อีกมากมายเลยนะคะ ซึ่งเท่าที่พิมอ่านรีวิวมาจากใน google (งานนี้ยกความดีให้ google ^_^) ก็มีคนบอกว่า ถ้ามาที่นี่แล้วอยากทานอย่างอื่นที่ไม่ใช่กระเฉดชะลูดน้ำ ก็ให้ลองสั่งพวกเมนูปลาแม่น้ำ อย่างปลาคัง ปลาน้ำเงิน ปลาเนื้ออ่อนมาทานดู เพราะที่นี่...แม่ครัว เค้าทำเมนูปลาได้เด็ดมากเลยอ่ะค่ะ
เริ่มต้นกันที่จานแรก เป็นเมนูที่พิมรอคอยมานานแสนนาน จนแทบจะร้องเพลงแต่ปางก่อนเลย - -" (มีใครเกิดทันไหมเนี่ย) ก็คือเมนูผัดผักกระเฉดชะลูดน้ำนะคะ .... แว๊บแรกที่เห็น ! ทำไมมันแลดูเหม่ง ๆ เหมือนไม่มีอะไรอย่างนี้อ่ะ (คือตนนั้นพิมยังไม่เคยเห็นต้นผักกระเฉดชะลูดน้ำของจริงนะคะ) แต่พอลองได้ชิม โอ้ยยย อร่อยมากกกกกกกเลยค่ะ ตัวผักกระเฉดเนี่ยเค้าจะกรอบนอก แต่นุ่ม ๆ ด้านใน ที่สำคัญกลิ่นไม่แรง ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวเลยแม้แต่น้อย และผัดมาได้แบบสุกกำลังดี รสชาติก็ไม่จัดมาก ทานเปล่า ๆ ก็อร่อย ทานกับข้าวสวยก็อร่อย สรุปว่าอร่อย สมกับที่รอคอยมานานเลยนะคะ
ส่วนจานที่ 2 พิมก็ลองสั่งเป็นยำผักกระเฉดมาดูอ่ะค่ะ ตอนแรกพิมคิดว่ายำผักกระเฉดที่นี่จะเป็นยำแบบน้ำใส ๆ เหมือนที่พิมเคยทำกินเองและที่เคยกินตามร้านในกรุงเทพฯ นะคะ แต่ปรากฎว่ายำผักกระเฉดของที่นี่จะยำมาแบบคล้ายยำถั่วพูอ่ะค่ะ คือ ใส่น้ำพริกเผา ใส่หอมเจียว รสชาติออกเผ็ดเปรี้ยวหวาน ทำนองนั้นนะคะ ซึ่งตอนแรกพิมก็คิดว่ามันจะรสชาติเป็นยังไง แต่พอได้ลองชิมแล้ว ก็อร่อยไม่แพ้ผัดผักกระเฉดเลยค่ะ เสียดายอย่างเดียว จานนี้กระเฉดน้อยมาก แต่มีเครื่องพวกหมึก กุ้ง หมู ซะเป็นส่วนใหญ นี่ถ้าเพิ่มผักกระเฉดสักหน่อย แล้วลดเนื้อสัตว์ลงสักนิด จะโอเคมากๆ เลยอ่ะค่ะ (แต่คนส่วนใหญ่น่าจะชอบแบบเนื้อสัตว์เยอะมากกว่าเน๊าะคะ)
ส่วนจานที่ 3 จานสุดท้ายที่พิมสั่งมากิน ก็คือ "ผัดฉ่าปลาคัง" นะคะ ... จานนี้สารภาพเลยว่าตอนแรกที่สั่ง ไม่ได้คิดอะไรค่ะ แต่สั่งเพราะไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี ต้มยำก็เบื่อ แกงเผ็ดก็ไม่ชอบ ต้มจืดก็ไม่อยากกิน ต้มข่าก็ไม่เอา ยำก็มีแล้ว ผัดผักก็มีแล้วนะคะ ... คุณสามีพิม (ด้วยความรำคาญคุณภรรยารึเปล่าก็ไม่รู้ -*-) ก็เลยบอกพิมว่า งั้นลองเอานิ้วจิ้มไปที่เมนูล่ะกันนะ (จิ้มแบบหลับตา) แล้วถ้าไปโดนเมนูไหน ก็สั่งเมนูนั้นเลยอ่ะค่ะ
ซึ่งเมนูที่พิมจิ้มโดนไป ก็คือ เมนูผัดฉ่าปลาคังนะคะ ... อาหารจานนี้เนี่ย พิมเคยกินมาหลายที่ ทั้งแถวอยุธยา สุพรรณบุรี สิงห์บุรี แต่ทั้งหมดทุกร้านที่เคยกินมา ร้านนี้ทำได้อร่อยสุดเลยค่ะ
เนื้อปลาคังของที่นี่มีควมหนุบเหนียว เคี้ยวอร่อยมาก และไม่มีกลิ่นคาวเลยสักนิดนะคะ ส่วนเครื่องแกงก็รสชาติจัดจ้าน และมีกลิ่นหอมมากเลยอ่ะค่ะ แถมที่ร้านเค้ายังใส่หน่อข่าอ่อนด้วย ทำให้รสชาติของเครื่องเทศเครื่องแกงเวลากินเข้าไปแต่ละคำ มันฟุ้งอยู่ในปากเลยะคะ ..... สรุปว่าเป็นอีกจานของร้านเนินน้ำที่ควรสั่งมาทานมากๆ เลยอ่ะค่ะ ^_^
จากร้านเนินน้ำ พิมได้รับคำแนะนำจากน้องพนักงานเสริฟที่นั่นว่า ตรงสี่แยกไฟแดงกบินทร์บุรี เลี้ยวขวาไปประมาณสัก 200 เมตร ฝั่งขวามือด้านหลังแนวตึกจะเจอกับตลาดนัดแบบบ้าน ๆ ชื่อตลาดศุภผล และที่ตลาดนั้นนอกจากผักบ้านมากมายแล้ว ก็จะมีคนเอาผักกระเฉดชะลูดน้ำมาขายด้วยอ่ะค่ะ
ที่นี่หลายคนก็อาจจะสงสัยว่าผักกระเฉดชะลูดน้ำคืออะไร และต่างจากผักกระเฉดปกติทั่วไปยังไงนะคะ
ผักกระเฉดชะลูดน้ำ ก่อนหน้านี้ก็จะมีหน้าตาเหมือนผักกระเฉดธรรมดาทั่วไป ที่ยอดยาว ๆ ข้อสั้น ๆ มีนมขาว ๆ มีใบเยอะๆ อ่ะค่ะ แต่หลังจากเก็บเกี่ยวผักกระเฉดขึ้นมาจากท้องนาแล้ว ที่นี่เนี่ยเค้าจะมีเทคนิคอย่างนึง หรือเรียกกันว่าภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่จะทำให้นมผักกระเฉด และใบผักกระเฉด หลุดออกไปหมดโดยที่ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งรูดนั่งเด็ดเลยนะคะ แถมผักกระเฉดที่ได้ ยังออกมากรอบ นุ่ม สีสวยกว่าผักกระเฉดแบบทั่วไปอีกค่ะ ^_^
โดยวิธีการก็คือ ชาวบ้านเค้าจะเอาผักกระเฉดแบบปกติทั่วไปที่เก็บมาได้จากนาผักกระเฉดเนี่ย มามัดรวมกันเป็นกำใหญ่ แล้วเอาไปปักแช่ไว้ในบ่อน้ำสะอาด (ปักให้จมมิด ยอดอยู่ใต้ผิวน้ำ) ประมาณ 2 คืนนะคะ ซึ่งในระหว่าง 2 คืนนี่เอง กระเฉดก็จะพยายามยืดตัวเอง (เป็นไปตามกลไกลของธรรมชาติ) เพื่อให้ยอดโผล่พ้นน้ำ ส่งผลให้แต่ละข้อของกระเฉดยืดยาวขึ้น (ประมาณ 3-4 เท่าจากของเดิม) พร้อมๆ กับใบและนมที่ค่อย ๆ ร่วงหลุดไป จนสุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นผักกระเฉดชะลูดน้ำหน้าตาแบบที่พิมถ่ายรูปมานี่อ่ะค่ะ
ซึ่งกระเฉดชะลูดน้ำแบบนี้เนี่ย สิ่งที่เค้าแตกต่างจากกระเฉดทั่วไปก็คือ หนึ่ง.. ไม่มีนม ไม่มีใบ ทำให้เราไม่ต้องมาเสียเวลานั่งรูดนมเด็ดใบกระเฉดนะคะ ... สองคือแต่ละข้อของกระเฉดยาวมาก ประมาณ 3-4 เท่าของกระเฉดทั่วไปได้ เพราะงั้นแล้วไม่ต้องมาสั่งเสียเวลาเด็ดข้อกระเฉดทิ้งบ่อย ๆ อ่ะค่ะ ... สามคือเห็นยอดยาว ๆ แบบนี้ แต่ขอบอกว่าอ่อนตั้งแต่ยอดจนถึงโคนเลยนะคะ เรียกว่าถ้าซื้อมา ก็ใช้ได้ตั้งแต่โคนจรดปลายเลยอ่ะค่ะ .. และอย่างที่สีคือกลิ่น กระเฉดชะลูดน้ำกลิ่นจะจะเบากว่ากระเฉดปกติทั่วไปเยอะนะคะ เรียกได้ว่าถ้าใครไม่สังเกตุ อาจจะไม่รู้สึกก็ได้อ่ะค่ะ ดังนั้นแล้วถ้าใครไม่ชอบทานกระเฉดแบบปกติ เพราะไม่ชอบกลิ่นที่บางคนก็บอกว่ามันเหม็นเขียว พิมแนะนำให้ลองหากระเฉดแบบนี้มาทานนะคะ รับรองจะชอบค่ะ ..... ส่วนอย่างสุดท้ายก็คือความกรอบนะคะ กระเฉดแบบปกติเนี่ย บางทีมันก็เหนียวเน๊าะ แต่กระเฉดที่นี่กรอบและข้างในนุ่มมากค่ะ เอามาทำเมนุไหน ไมว่าจะยำ ผัด แกง ก็อร่อยทุกเมนูเลยนะคะ ^_^
ส่วนราคาขายกระเฉดชะลูดน้ำแบบนี้ ขึ้นอยุ่กับฤดูค่ะ บางช่วง 10-12 ยอด 10 บาท บางช่วง 7-8 ยอด 10 บาทก็มี แต่ทีพิมซื้อมาวันนี้ เค้าขายกันที่ 10 ยอด 13 บาทนะคะ ซึ่งอาจจะดูน้อย เพราะมันไม่มีใบ ไม่มีนม แต่ถ้าเจอก็ซื้อมาเถอะค่ะ คุ้มมมมม ^_^
**สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่อยากซื้อผักกระเฉดแบบนี้ในช่วงเช้า หาซื้อได้ที่ตลาดสดทุกตลาดในเขตกบินทร์บุรีเลยนะคะ
จากตลาดกระเฉดชะลูดน้ำ ... จุดหมายถัดไปก็จะเป็นจุดหมายสุดท้ายสำหรับทริปปราจีนบุรีของพิมในครั้งนี้แล้วนะคะ (แต่รับรองว่ามีครั้งหน้าๆ อีกแน่นอนจ้า) นั่นก็คือ "ตลาดบ้านโง้ง" อ่ะค่ะ
จากคำขวัญของเมืองปราจีนบุรี ที่บอกเอาไว้ว่า "ศรีมหาโพธิ์คู่บ้าน ไผ่ตงหวานคู่เมือง ผลไม้ลือเลื่อง เขตเมืองทวารวดี" ก็คงพอจะทำให้หลาย ๆ คนรู้ว่า ปราจีนบุรีเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีต้นไผ่ โดยเฉพาะไผ่ตงเยอะมากนะคะ และด้วยความที่มีเยอะมากนี่แหละค่ะ ก็เลยทำให้ชาวบ้านพยายามนำเอาไม้ไผ่เหล่านี้มาแปรรูปทำเป็นเครื่องใช้ต่าง ๆ นะคะ
จนพอมีการทำเยอะมากขึ้น ประมาณว่าบ้านฉันก็ทำ บ้านเธอก็ทำ บ้านโน้นก็ทำ ..... ชาวบ้านที่บ้านโง้งเค้าก็เลยมีการรวมตัวกัน จัดตั้งเป็นกลุ่มผลิตสินค้าพื้นเมืองที่ใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลักอ่ะค่ะ โดยจะเน้นผลิตไปในส่วนของเฟอร์นิเจอร์ อย่าง เตียงนอนผู้ใหญ่ เปลเด็ก เก้าอี้ยาว ชุดเก้าอี้รับแขก อะไรประมาณนี้นะคะ แต่พวกสินค้าชิ้นเล็ก ๆ อย่างกระด้ง กระจาด หรือสินค้าชิ้นที่ใหญ่กว่านี้ อย่างเรือนไทย ก็มีผลิตด้วยอ่ะค่ะ (ขึ้นกับความสามารถ ความถนัดของแต่ละบ้าน)
ซึ่งเท่าที่พิมสอบถามราคาแล้วเนี่ย ขอบอกว่าไม่แพงนะคะ (อย่างน้อยก็ถูกกว่าที่พิมเคยซื้อมาจากจันทบุรีอ่ะค่ะ) >_< อย่างแคร่ไม้ไผ่ในภาพข้างบนที่มีขนาดใหญ่มาก ประมาณ 4*6 ฟุต ราคาอยู่ที่ 350-400 บาทเท่านั้นเองนะคะ หรืออย่างแคร่ด้านล่างที่มีขนาดประมาณ 4 ฟุตครึ่ง * เกือบ ๆ 7 ฟุต แล้วมีผนัก มีขอบกันตกที่ด้านข้าง ๆ ด้วย ราคาก็แค่ 500-600 กว่าบาทเท่านั้นเองอ่ะค่ะ
เพราะงั้นแล้วเพื่อน ๆ คนไหนที่ไปปราจีนบุรี แล้วผ่านไปแถวนี้ ก่อนกลับบ้านอย่าลืมแวะไปชมสินค้าที่ทำจากไม้ไผ่ที่ตลาดบ้านโง้งกันบ้างนะคะ (อยู่ใกล้ ๆ กับตลาดหนองชะอมเลย) รับรองว่า จะติดใจในความสวยและราคาที่ถูกเหมือนพิมอ่ะค่า ^_^
และจากบ้านโง้ง แน่นอนว่าจุดหมายถัดไปของพิมก็คือบ้านพิมแล้วนะคะ .... ซึ่งระหว่างทางจากบ้านโง้งไปบ้านพิม ที่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ พิมก็คงไม่ได้แวะที่ไหน นอกจากปั๊มน้ำมันอ่ะค่ะ ^^" เพราะงั้นแล้วสำหรับทริปปราจีนบุรี 2 วัน 1 คืนในครั้งนี้ พิมก็ขอลาเพื่อน ๆ ไว้ตรงนี้เลยเน๊าะคะ และพิมก็แอบหวังเล็ก ๆ ว่า ข้อมูลจากการเที่ยวของพิมไม่ว่าจะจังหวัดปราจีนหรือจังหวัดไหน ๆ จะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ บ้างไม่มากก็น้อยอ่ะค่ะ (สรุปจบเหมือนรายงานตอนประถมเลย แฮ่ๆ) และยิ่งถ้าเพื่อน ๆ ได้แรงบันดาลใจจากทริปของพิม จนอยากจะออกมาเที่ยวปราจีนบุรีและจังหวัดอื่น ๆ บ้าง พิมก็จะยิ่งดีใจมากขึ้นนะคะ .... ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามกันมาถึงตรงนี้ สวัสดีค่ะ ^_^