หลังจากที่เมื่อคืนพิมได้นอนบนฟูกสบาย ๆ ท่ามกลางอากาศเย็น ๆ และบรรยากาศที่มีต้นไม้รอบข้างแล้ว เช้านี้พิมก็ตื่นขึ้นมาด้วยความสดใสสุด ๆ เลยอ่ะค่ะ ^_^
วันนี้เนี่ยพิมมีแพลนเอาไว้ว่า ช่วงเช้าจะไปเดินช๊อปปิ้งผักผลไม้สวยๆ ที่ตลาดสดเมืองอรัญก่อนเป็นอันดับแรกเลยนะคะ (จุดประสงค์จริงคือไปหาของกินอร่อย ๆ ^^) แล้วจากนั้นก็จะกลับมากินข้าวที่รีสอร์ทต่ออ่ะค่ะ พอเสร็จก็จะเก็บกระเป๋าแล้วเช็คเอ้าท์ ไปช๊อปปิ้งแคนตาลูป ซึ่งเป็นสินค้า OTOP ของเมืองอรัญตรงริมถนนเส้นหน้าโรงเกลือนะคะ จากนั้นก็จะขับรถต่อไปยังหนองแวง เพื่อไปเที่ยวชมความงามของปราสาทสต๊อกก๊อกธมอ่ะค่ะ เสร็จแล้วก็จะขับกลับมากินขนมจีนอร่อย ๆ ต่อที่สวนฐานิกูลนะคะ ก่อนจะไปเดินชมความงามของถ้ำเพชรโพธิ์ทอง และความงามของทุ่งดาวเรืองอ่ะค่ะ ^_^ ...... ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจ อยากไปเที่ยวกับพิมในวันนี้ ก็ตามมาเลยจ้า
เช้าวันนี้เนี่ย พิมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตั้งแต่ตอน 6 โมงเช้าเลยนะคะ แต่กว่าจะปลุกคุณสามีให้ตื่นมาอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน และแต่งตัวก็ปาเข้าไป 7 โมงแล้วอ่ะค่ะ - -" แต่ด้วยความที่รีสอร์ทอยู่ใกล้กับตลาดแค่เพียง 2 กม. กว่าๆ ถึงคุณสามีจะตื่นสัก 8 โมง ก็ยังไม่มีปัญหาอะไรนะคะ ^^
ตลาดเช้าเมืองอรัญ เป็นตลาดสดแบบบ้าน ๆ ที่มีสินค้าขายมากมายหลายอย่างมากมายเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผักทั่วไป ผลไม้ตามฤดูกาล เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ปลาแม่น้ำ แต่ที่เยอะสุดก็เห็นจะเป็นผักพื้นบ้าน และผักทั่วไปที่ชาวบ้านปลูกกันเองตามครัวเรือนแล้วเอามาวางขายนะคะ
เช่นผักกระเฉดยอดสั้น ๆ ผักบุ้งแดง ผักติ๊ว แตงกวาที่ลูกเบี้ยว ๆ นิดนึง ถั่วฝักยาวที่ฝักไม่ค่อยยาวเท่าไหร่ ผักแพว หน่อกระชาย ยอดมะระ และผักอื่นๆ อีกมากมายเลยอ่ะค่ะ
ที่สำคัญผักพื้นบ้านของที่นี่ราคาถูกมากนะคะ คือแบบว่ากำโต ๆ สวย ๆ อ่อน ๆ อยู่กรุงเทพฯ น่าจะ 15 บาท 20 บาท ได้ แต่ผักที่นี่กำนึงแค่ 5 บาท 10 บาทเท่านั้นเองอ่ะค่ะ แถมถ้าซื้อหลายกำ แล้วคุยถูกคอกับแม่ค้า แม่ค้ายิ่งลดให้กระหน่ำเลยนะคะ ^^" อย่างใบยอในภาพอ่อนสุดๆ พิมไปถามแม่ค้าเค้าว่าขายกำละเท่าไหร่ แม่ค้าก็ตอบวากำละ 5 บาท แต่ถ้าซื้อ 7 กำ แม่ค้าเค้าคิด 20 บาทเท่านั้นเองค่ะ ..... ตอนแรกพิมก็ตัดสินใจว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดีน๊าาา คือแบบว่าถ้าถูก แต่ซื้อไปแล้วไม่ได้ใช้ มันก็เสียเงินเปล่าเน๊าะคะ แต่คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่า สามสี่วันก่อนพิมมาปราจีน แม่เพิ่งบ่นอยากกินห่อปลาปลาช่อนนา และแกงใบยอกับปลาดุกนา ก็เลยซื้อมาซะ 14 กำเลยอ่ะค่ะ ^_^
หรืออย่างหน่อไม้แบบในภาพด้านล่างนี้ ตอนที่พิมไป หน่อไม้ยังไม่ชุกมาก ราคาที่อื่นกิโลละ 40 บาท แต่ที่นี่ 20 บาทเท่านั้นเองนะคะ
หรืออย่างมะกรูดที่ลูกสวยๆ และสดมาก ราคาก็แค่กิโลละ 25-30 บาทเท่านั้นเองค่ะ ซึ่งตอนที่พิมอยู่กรุงเทพฯ เนี่ย ราคาถูกสุดที่เคยซื้อก็ 3 ลูก 10 นะคะ เพราะงั้นมาเจอถูก ๆ อย่างนี้ พิมก็เลยเหมาซื้อมาซะ 7 โล เพื่อเอาไปทำแชมพูมะกรูดเก็บไว้ใช้อ่ะค่ะ ^^
(ให้แม่ค้าลองชั่งดูว่า 1 โล ได้ประมาณไหน)
นอกจากผักสด ผลไม้สด เนื้อสัตว์สด ๆ แล้ว .... ที่ตลาดนี้ก็ยังมีของกินแบบพื้นบ้านที่น่าสนใจอีกหลายอย่างเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเผือกหอมนึ่ง มันกระต่ายนึงที่เสียบมาในไม้ยาว ๆ ราคาแค่ไม้ละ 10 บาทเท่านั้นเองค่ะ (ตอนที่พิมไป มีคนเหมาซื้อมันกระต่ายไปหมด 5 ไม้ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาฝาก >_<")
แล้วก็ยังมีขนมครกร้อน ๆ แป้งนุ่ม ๆ รสชาติหวานมันแบบขนมครกโบราณ ใส่มาในกระทงใบตอง ราคาแค่กระทงละ 20บาทเท่านั้นเองนะคะ
แต่ที่อยากแนะนำสุด ๆ ก็เห็นจะเป็นอันนี้แหละนะคะ #ข้าวเกรียบปากหม้อญวณ .... ข้าวเกรียบปากหม้อที่แป้งบาง ๆ ใส ๆ มีไส้เป็นกุยช่ายผัดกับหมูสับ เวลาทานก็ทานกับน้ำจิ้มเปรี้ยว ๆ หวานๆ เผ็ดนิดๆ หนึ่งในอาหารเวียดนามที่เป็นอาหารพื้นถิ่นของจังหวัดสระแก้วเลยค่ะ ^_^ ซึ่งที่ร้านนี้เค้าจะมีทั้งแบบธรรมดาอย่างในภาพด้านล่าง และแบบใส่ไข่ (บางร้านจะมีแบบเดียว) แต่พิมไม่ค่อยชอบไข่ เลยเอามาแบบเดียวนะคะ ^^
จากตลาด หลังจากช๊อปปิ้งทั้งของกิน และผักผลไม้สด ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว .... พิมก็ตรงกลับมาที่รีสอร์ท เพื่อมากินอาหารเช้าต่ออ่ะค่ะ
ซึ่งอาหารเช้าของที่รีสอร์ทนี่มีแห่งนี้ เค้าจะมีให้ลูกค้าเลือกทาน 2 อย่างด้วยกันนะคะ คือ ถ้าใครชอบสไตล์ไทย ๆ ไม่ชอบทานไข่อย่างพิม เจ้าของรีสอร์ทเค้าก็จะแนะนำให้สั่งเป็น #ข้าวต้มหมู อ่ะค่ะ แต่ถ้าใครอยากทานเบาๆ หน่อย ชอบทานไข่ ไส้กรอก เจ้าของเค้าก็จะแนะนำให้เลือกเป็นชุด ABF นะคะ ซึ่งทั้งสองอย่างเนี่ย ตอนที่เราเข้ามาเช็คอิน เราจะต้องบอกเค้าเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยอ่ะค่ะ เพื่อที่ทางรีสอร์ทเค้าจะได้จัดเตรียมไว้ให้ และเมื่อเรามาทาน จะได้ใช้เวลาในการทำไม่มากนะคะ ^_^
ตอนแรกที่พิมสั่งอาหารไป พิมก็ไม่ได้คิดอะไร กะว่าก็ข้าวต้ม 1 ชาม ชุด abf 1 จานประมาณนั้นอ่ะค่ะ แต่พอตอนที่เค้าเอามาเสริฟ นอกจากที่พิมว่าแล้ว แต่ละชุดเค้าก็ยังมีขนมปัง 2 แผ่น กับแยมผลไม้ มีกาแฟ/โอวัลติน และมีน้ำเปล่าให้อีกด้วยนะคะ พอมารวมกับขนมครก ปากหม้อญวณ และโอเลี้ยง ..... มื้อนี้เลยเป็นมื้อเช้าที่พิมอิ่มที่สุดของที่สุดในรอบปีเลยอ่ะค่ะ O_O
หลังจากอิ่มหนำสำราญกะมื้้อเช้าซะจนพุงพิมแน่นมากกกกก (ไม่อิ่มก็แน่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ -*-) ก็ได้เวลาไปเช็คเอ้าท์ และจรลีไปยังที่อื่นต่อแล้วนะคะ โดยจุดหมายถัดไปของพิมกับคุณสามีก็จะอยู่ที่ปราสาทสต๊อกก๊อกธรม ปราสาทหินโบราณขนาดใหญ่ ที่อยู่ห่างจากที่พักพิมไปประมาณเกือบๆ 1 ชม. อ่ะค่ะ แต่ก่อนจะไปถึงที่นั่น ไหน ๆ แวะมาอรัญทั้งทีแล้ว ก็ต้องไม่ลืมซื้อแคนตาลูป...ของดีเมืองอรัญ กลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนะคะ ^_^
แคนตาลูปเป็นผลไม้ชนิดนึงที่พิมเชื่อว่าเพื่อน ๆ แทบทุกคนก็น่าจะรู้จักกันอยู่แล้วเน๊าะคะ ซึ่งแหล่งที่ปลูกแคนตาลูปแล้วได้ผลดีที่สุดแหล่งนึงในประเทศไทย ทั้งในเรื่องของปริมาณ ขนาดผล และรสชาติ ก็คือที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัะสระแก้วนี่แหละค่ะ
โดยแคนตาลูปที่อำเภออรัญประเทศเนี่ยก็จะมีการปลูกกันทั้งปี วางขายกันทั้งปีเลยนะคะ เรียกว่าไปเที่ยวอรัญช่วงไหนก็จะได้กินแคนตาลูปอ่ะค่ะ แต่เดือนที่แคนตาลูปของที่นี่จะอร่อยสุด หวานสุด กรอบสุด หอมสุด ก็คือเดือนเมษายน-พฤษภาคมนะคะ เพราะเป็นช่วงที่น้ำแล้งและอากาศร้อน ซึ่งเป็นสภาพอากาศแบบที่เหมาะสมกับการปลูกแคนตาลูปที่สุดอ่ะค่ะ
โดยราคาขายแคนตาลูป ไม่ว่าจะในช่วงเดือนไหนของปีเฉลี่ยแล้วก็จะอยู่ที่ประมาณกิโลละ 35-50 บาทนะคะ โดยราคานี้จะขึ้นกับเกรดแคนตาลูป (มีเกรด a กับ b) และขึ้นกับว่าช่วงนั้นแคนตาลูปออกมากออกออกน้อยแค่ไหนด้วยอ่ะค่ะ โดยจุดที่ชาวบ้านนิยมเอาแคนตาลูปมาวางขายกันมากที่สุด ก็คือ ริมถนนสุวรณณศร ขาเข้าเมืองอรัญประเทศ หรือที่หลาย ๆ คนรู้จักกันในชื่อว่าถนนเส้นหน้าโรงเกลือนะคะ ^_^
(ช่วงเมษายนของทุกปีทางอรัญเค้าจะจัดงานวันแคนตาลูปด้วย ซึ่งในงานก็จะมีแคนตาลูปมากมายจากหลายสวน และมีผลิตภัณฑ์ขนมอาหารจากแคนตาลูป ซึ่งเพื่อนๆ สามารถติดต่อขอข้อมูล ได้ที่ >> ททท นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จ้า)
จากแถวๆ หน้าโรงเกลือ ... เราเปลี่ยนบรรยากาศจากการเดินช๊อปปิ้ง ไปเที่ยวชมปราสาทสต๊อกก๊อกธรม ปราสาทหินโบราณ ที่อยู่ในเขตอำเภอโคกสูงนะคะ ^_^
ปราสาทสด๊กก๊อกธม หรือที่บางคนก็เรียกว่าปราสาทสด็อกก็อกธม (ต่างกันตรง สต๊ก กับ สต๊อก) เป็นโบราณสถานขอมที่ใหญ่ที่สุดในเขตภาคตะวันออกของประเทศไทยนะคะ โดยจากหลักฐานต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวมมาได้เนี่ย ก็พบว่าปราสาทแห่งนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่ออยู่อาศัย แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ประดิษฐานรูปเคารพ และใช้ประกอบพิธีกรรมตามคติความเชื่อในลัทธิศาสนาฮินดูอ่ะค่ะ
ทีนี้หลาย ๆ คนก็อาจจะสงสัยว่าแล้วคำว่า สต๊กก๊อกธรม เป็นภาษาอะไร มีความหมายว่ายังไงนะคะ ....... คำว่าสต๊กก๊อกธรม เป็นภาษาเขมร โดยคำว่า สต๊ก (หรือสต๊อก) แปลได้ว่า รก ทึบ หนา คำว่าก๊อก หมายถึงต้นกกที่เอามาทำเสื่อ และคำว่า ธม แปลว่าใหญ่ ดังนั้นแล้วคำว่าสด๊กก๊อกธมก็เลยหมายถึง เมืองที่มีต้นกกขึ้นรกในหนองน้ำใหญ่ .. ประมาณนั้นอ่ะค่ะ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วปราสาทสต๊อกก๊อกธรมเนี่ย แตกต่างจากปราสาทขอมอื่นๆ ตรงไหนนะคะ .... จริงๆ แล้วถ้าดูกันตามสภาพภายนอกแบบเรา ๆ ที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องโบราณคดีก็คงไม่ต่างอะไรกันมากอ่ะค่ะ แต่เท่าที่พิมได้คุยกับพี่เจ้าหน้าที่ เค้าบอกกับพิมว่านอกจากปราสาทสต๊อกก๊อกธรมจะเป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกแล้ว ครั้งนึงก็เคยมีการค้นพบจารึกซึ่งมีความสำคัญต่อการศึกษาลำดับกษัตริย์ของราชวงศ์เขมรเป็นอย่างมาก ชนิดที่แม้แต่ในดินแดนของเขมรเอง ก็ไม่เคยมีการพบจารึกอะไรทำนองนี้เลยนะคะ
ปราสาทสต๊อกก๊อกธมเนี่ย สมัยที่ถูกค้นพบใหม่ ๆ (ปี พ.ค. 2404) จะอยู่กลางป่าดงดิบอ่ะค่ะ ซึ่งการค้นพบในสมัยนั้นเนี่ย มิใช่การที่ทางกรมศิลปหรือรัฐบาลไทยเราออกไปสำรวจนะคะ (เพราะยังไม่มีการจัดตั้ง ^^) แต่เกิดจากที่ชาวบ้านคนนึงเดินหาของป่าอยู่ดี ๆ แลว้ก็พลัดหลงเข้าไปในป่าแห่งนี้ จนมาเจอเข้ากับตัวปราสาทโดยบังเอิญอ่ะค่ะ ซึ่งในสมัยนั้นเนียคาดกันว่า ตัวปราสาทยังคงมีความสมบูรณ์อยู่ประมาณนึงนะคะ แต่พอมาถึงปี 2507 มีกลุ่มพ่อค้าวัตถุโบราณกลุ่มนึงจ้างชาวบ้านให้เข้าไปโจรกรรมชิ้นส่วนสำคัญส่วนนึงของปราสาท ทำให้ปราสาทเกิดการถล่มลงมาอ่ะค่ะ (ปราสาทถูกสร้างด้วยการนำหินมาวางซ้อนทับกันเฉย ๆ) และพอปี 2518 เกิดสงครามในกัมพูชา ทำให้ชาวบ้านหลายพันหลายหมื่นครอบครัวไม่มีที่อยู่ ชาวบ้านก็เลยพากันอพยพมาอาศัยอยู่ที่บริเวณปราสาทเป็นจำนวนมาก ก็เลยยิ่งทำให้ตัวปราสาทเกิดความเสียหายมากขึ้นนะคะ พอมาถึงปี 2533 สมเด็นพระเทพฯ ท่านทรงพานักเรียนนายร้อยมาทัศนศึกษาที่นี่ และได้ทรงเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้น ก็เลยมีการส่งเรื่องขึ้นไปขอให้มีการบูรณะปราสาทแห่งขึ้นในปี 2536 จนกลายมาเป็นปราสาทหิมแบบขอมโบราณที่สวยงามอย่างในทุกวันนี้อ่ะค่ะ ^^
จากปราสาทหินโบราณ .... จุดหมายถัดไปของพิมก็แน่นอนว่าไม่พ้นเรื่องกินอีกล่ะนะคะ ^_^ ซึ่งร้านทีพิมจะพาเพื่อนๆ ไปชิมกันในมื้อกลางวันนี้ ก็คือร้านฐานิกูล ที่อยู่ในอำเภออรัญประเทศอ่ะค่ะ (อยู่ในระหว่างเส้นทางที่พิมจะต้องกลับกรุงเทพฯ พอดีเลยจ้า)
ร้านฐานิกูล เป็นร้านอาหารที่ขายอาหารประเภทขนมจีนเป็นหลักนะคะ ไม่ว่าจะขนมน้ำยากะทิ ขนมน้ำแกงป่า ขนมจีนน้ำพริก ขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ ที่ร้านนี้มีหมดเลยอ่ะค่ะ ^_^
โดยความอร่อยของขนมจีนที่นี่ นอกจากจะมาจากน้ำยาต่างๆ แล้ว ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเส้นขนมจีนนะคะ โดยเส้นขนมจีนของที่นี่จะเป็นเส้นขนมจีนแบบเส้นสดที่ทำตามสูตรโบราณ มีลักษณะเส้นเป็นเส้นเล็ก และมีความเหนียวนุ่มมากอ่ะค่ะ มากกว่าเส้นขนมจีนที่เรากินกันในกรุงเทพฯ อย่างรู้สึกได้เลยนะคะ ทำให้เวลาเอามาทานกับน้ำยาต่างๆ เส้นจะดูดซับน้ำยา น้ำพริกได้ดี ทำให้ยิ่งอร่อยมากขึ้นอ่ะค่ะ
นอกจากขนมจีนแล้ว ที่ร้านนี้เค้าก็ยังมีพวกส้มตำไก่ทอดอีกด้วยนะคะ ซึ่งหลายเสียงเท่าที่พิมได้ฟังมาต่างบอกว่าไก่ทอดที่ร้านนี้ โดยเฉพาะปีกไก่ทอดเด็ดมากเลยค่ะ .... แต่ด้วยความที่ขนมจีนจานเดียว ก็ทำให้พิมอิ่มจนจุกท้องแล้ว แถมอาหารเมื่อเช้าก็เหมือนยังไม่ค่อยย่อย พิมก็เลยไม่อยากสั่งต่อนะคะ แต่คุณสามีพิมเค้าก็บอกว่าลองหน่อยเถอะน่ะ ไหน ๆ มาแล้ว เราเองก็ไม่ได้มาบ่อย ๆ ลองสั่งดู เผื่อว่าจะได้มีข้อมูลกลับไปเขียนให้เพื่อน ๆ ได้อ่านด้วยว่าอร่อยจริงไหม ..... พิมก็เลยตัดสินใจสั่งอ่ะค่ะ (นี่ทำเพื่อเพื่อน ๆ เลยน๊าาาา) แต่...ปรากฎว่าพอสั่งปุ๊บบบบบ น้องคนขายบอกปั๊บว่า หมดแล้วค่าาา T__T ... แบบว่ามันคืออะไร เพราะก่อนหน้านี้ตอนกำลังคิดว่าจะสั่งดีไหม หรือไม่สั่งดี ยังเห็นมีอยู่เป็นสิบ ๆ ปีกเลยอ่า
สรุปงานนี้พิมตัดสินใจช้าไปหน่อย จากปีกไก่ทอดก็เลยกลายร่างเป็นหนังไก่ทอดแทนนะคะ >_< แต่ถึงจะเป็นแค่หนังไก่ทอด แต่ถ้าเทียบหนังไก่ทอดของที่นี่กับหนังไก่ทอดทั่วไป พิมก็อยากบอกว่าหนังไก่ทอดของที่นี่อร่อยมากค่ะ แม้ว่าเค้าจะให้น้ำจิ้มมาด้วย แต่เชื่อไหมคะ กันกันสองคนหมดไป 2 จาน ไม่ได้จิ้มน้ำจิ้มเลยสักนิด แต่ก็อร่อยจนหมดจานอ่ะค่ะ เพราะนั้นไอเท็มนี้ พิมแนะนำว่าถ้าเพื่อน ๆ ไปทานอาหารที่นี่ สั่งมาทานได้เลยนะคะ ไม่ผิดหวังค่า
และอีกอย่างที่พิมสั่งมาทาน (ไหนบอกว่าแค่ขนมจีนก็จุกท้องแล้วไง >_<) ก็คือตำข้าวโพดไข่เค็มนะคะ เมนูนี้หลังจากที่พิมได้ชิมมาจากหลาย ๆ ที่ พิมว่าที่นี่ทำได้ดีระดับนึงเลยอ่ะค่ะ คือตัวข้าวโพดเค้าจะใช้ข้าวโพดสองชนิด เป็นข้าวโพดสวิสกับข้าวโพดข้าวเหนียวนะคะ แล้วน้ำส้มตำเค้าปรุงรสมาอร่อย ออกเปรี้ยวหวาน พอเจอกับไข่เค็มที่ไม่เค็มมาก ก็เลยกลายเป็นเปรี้ยวหวาน เค็ม อร่อยกำลังดีเลย เพราะงั้นเพื่อน ๆ คนไหนมาทานหนมจีนที่นี่ อย่าลืมสั่งทานนะคะ ^_^
ส่วนอย่างสุดท้ายที่พิมสั่งมากินในวันนี้ เป็นขนมหวานค่ะ ... คือ พิมเป็นคนกินของคาวแล้วต้องต่อด้วยของหวาน ไม่งั้นจะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีความสุขเลยนะคะ >_< ซึ่งขนมหวานของที่นี่เค้ามีอยู่ 2 ประเภท แบบตักเองถ้วยละ 10 บาตร (เป็นพวกน้ำแข็งใส รวมมิตร) กับแบบสั่งที่คนขาย เดี๋ยวคนขายตักมาให้ (เฉาก๊วย) จะถ้วยละ 25 บาทอ่ะค่ะ ซึ่งเฉาก๊วยของที่นี่จะเป็นเฉาก๊วยยี่ห้อผึ้งน้อย ที่เวลาพิมเดินทางไปต่างจังหวัดโดยเฉพาะในแถบภาคตะวันออก มักจะเห็นมีติดป้ายโฆษณากันตามร้านอาหารทั่วไป ซึ่งเท่าที่พิมได้ลองชิมแล้ว อร่อยนะคะ ตัวสาคูหนึบ ๆ คล้ายเฉาก๊วยดอนเมือง แต่สีจะอ่อนหวาน แล้วก็รสหวานน้อยกว่า ที่สำคัญไม่ใส่น้ำตาลทรายแดงอ่ะค่ะ ซึ่งด้วยความที่เค้าไมใส่น้ำตาลทรายแดงนี่แหละ เลยทำให้ตอนแรกพิมไม่ชอบนะคะ เพราะพิมมีความรู้สึกว่าเฉาก๊วยก็ต้องคู่กับน้ำตาลทรายแดงอ่ะคะ ประมาณว่ามันเป็นของคู่กัน เพราะพิมกินอย่างนี้มาตั้งแต่สัยพิมยังเด็ก ๆ แต่พอกินไปกินมาอย่างจริงจัง ....... อืมมม.ม.ม..มม ไม่ต้องใส่น้ำตาลทรายแดงก็อร่อยดีนะคะ คิดในอีกแง่ว่าลดความหวานให้ร่างกายเราบ้างก็ดีอ่ะค่ะ ^_^ (แต่เฉาก๊วยยี่ห้อ กลินต้นหญ้าเฉาก๊ซยค่อนข้างแรงไปนิดนะคะ ถ้าใครไม่ชอบกลิ่นต้นหญ้า น่าจะไม่ชอบกลิ่นเฉาก๊วยอันนี้อ่ะค่ะ)
จากร้านขนมจีน หลังจากที่เรากินกันจนอิ่มท้องดีแล้ว ก็ได้เวลาไปเดินเผาผลาญแคลอรี่กันต่อนะคะ ^_^ ซึ่งจุดหมายที่พิมจะไปต่อ ก็คือ ถ้ำเพชรโพธิ์ทอง ถ้ำหินงอกหินย้อยที่สวยงานแห่งหนึงของจังหวัดสระแก้ว และเป็นจุดหมายสุดท้ายสำหรับทริปสระแก้วของพิมในครั้งนี้ด้วยอ่ะค่ะ
ถ้ำเพชรโพธิ์ทองเป็นถ้ำหินงอกหินย้อยขนาดกลางที่อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอคลองหาด จังหวัะสระแก้วนะคะ โดยในอำเภอนี้เนี่ย นอกจากจะมีแหล่งปลูกชมพู่พันธุ์ดีอย่างชมพู่คลองหาดแล้ว ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจอีกมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือถ้ำเพชรโพธิ์ทองนี่แหละค่ะ
(บรรยากาศระหว่างทางเดินไปยังถ้ำเพชรโพธิืทอง)
(บรรยากาศระหว่างทางเดินไปยังถ้ำเพชรโพธิ์ทอง)
ถ้ำเพชรโพธิ์ทอง เป็นถ้ำที่มีความยาวประมาณ 120 เมตรนะคะ บริเวณปากถ้ำจะเป็นลานหินกว้าง ส่วนภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อยคล้ายเพชรประดับมุกกระจายอยู่ทั่วไปอ่ะค่ะ โดยภายในถ้ำเนี่ยก็จะมีการแบ่งออกเป็นออกเป็น 4 ส่วน ส่วนแรกคือ ประตูสู่ถ้ำเพชรโพธิืทอง ส่วนที่สองคอห้องโถงอุโมงค์ใหญ่ ส่วนที่สามคือห้องมุขประดับเพชร และส่วนที่สี่คือประตู่สู่ปราสาทถ้ำนะคะ ^_^
โดยในแต่ละส่วนของถ้ำ แม้จะมีส่วนที่แคบกว้างต่างกันไป แต่อากาศส่วนใหญ่ก็จะค่อนข้างโล่งโปร่ง ทำให้แม้จะเข้าไปในถ้ำเป็นชั่วโมงก็ไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อยอ่ะค่ะ แถมด้วยความที่ตัวถ้ำมีช่องลม เลยมีลมพัดผ่านตลอด ทำให้อากาศภายในถ้ำนั้นเย็นสบายกว่าอากาศข้างนอกซะอีกนะคะ ^^
ส่วนไฮไลท์ที่สำคัญของถ้ำเพชรโพธิ์ทอง ก็มีอยู่ 2 ส่วนด้วยดันนะคะ โดยส่วนแรกคือ ลวดลายบนผนังของถ้ำซึ่งเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ จากน้ำที่ขังอยู่ในแอ่งด้านบนเขาจนเกิดเป็นสนิมซึมผ่านทะลุผนังออกมาเป็นดวงๆ คล้ายใบโพธิ์อ่ะค่ะ และส่วนที่สองก็คือ หินงอกที่มีลักษณะคล้ายพระพุทธรูป ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนสุดท้ายของห้องสุดท้ายที่อยู่ภายในถ้ำแห่งนี้นะคะ โดยในส่วนนี้ชาวบ้านเรียกกันว่าเป็นที่ชุมนุมของเทวดา จึงมีคนมาขอพรกันค่อนข้างมากอ่ะค่ะ ^_^
จากถ้ำเพชรโพธิ์ทอง เดินไปอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะเจอเข้ากับถ้ำเพชรหาดทรายแก้วนะคะ ซึ่งที่ถ้ำนั้นเนี่ย นอกจากจะเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยเหมือนถ้ำเพชรโพธิ์ทองแล้ว ก็ยังเป็นจุดที่มีคนนิยมไปทำกิจกรรมโรยตัวจากหน้าผากันมากอ่ะค่ะ แต่ทางเดินจะค่อนข้างชัน และแคบกว่าทางเดินที่จะไปยังถ้ำเพชรโพธิ์ทอง (อันนี้ทางเดินสบายๆ) ก็เลยไม่ค่อยมีคนนิยมไปนะคะ (นอกจากไปทำกิจกรรม) แต่ถ้าหากเพื่อน ๆ สนใจจะไป พิมแนะนำว่าให้หารองเท้าที่ใส่แล้วกระชับเท้า อีกทั้งกันลื่นได้สักนิดนึง จะทำให้การเดินสะดวกปลอดภัยมากขึ้นอ่ะค่ะ
จากถ้ำเพชรโพธิ์ทอง พิมตั้งใจว่าจะตรงดิ่งกลับกรุงเทพฯ ทันทีเลย แบบไม่แวะที่ไหนนะคะ เพราะระยะเวลาจากจุดนี้ถึงบ้านพิมก็ใช้เวลาเกือบ 4 ชม. อ่ะค่ะ (แบบว่าไม่อยากกลับดึกนะ พรุ่งนี้มีงานต่อ ^^") แต่ระหว่างทางหลังจากออกจากถ้ำเพชรโพธิ์ทองมาไม่นาน พิมก็เจอเข้ากับวิวสวย ๆ หลายจุด จนอดที่จะจอดรถถ่ายรูปทุกจุดไม่ได้นะคะ >_<
โดยวิวที่พิมว่าก็จะมีทั้งวิวทุ่งข้าวโพดที่กำลังออกดอกออกฝักเป็นสีทองเหลืองอร่ามนับหลายสิบไร่ แล้ว Background ด้านหลังก็เป็นภูเขาสูง ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้านะคะ (ชาวบ้านเค้าอาจจะรู้สึกธรรมดา แต่คนเมืองอย่างพิมที่ชอบต้นไม้ ชอบภูเขา ชอบท้องฟ้านี่ตื่นตะลึง ^^) และก็จะมีบางวิวที่ด้านหน้าเป็นทุ่งข้าวโพดสีเหลืองทองเหมือนกัน แต่ด้านหลังเป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยสายหมอกสีขาวที่กำลังไหลอย่างอ้อยอิ่ง จนแทบมองไม่เห็นภูเขาเลยก็มีอ่ะค่ะ
แต่วิวที่พีคสุดสำหรับพิม และพิมว่ามันสวยมากๆ ไม่แพ้ทุ่งทานตะวันที่ลพบุรี หรือเขาใหญ่ ก็คือวิวที่เป็นทุ่งดอกดาวเรืองสีเหลืองอร่ามหลายสิบไร่ แล้วมีด้านหลังเป็นต้นไม้ใหญ่ กับภูเขาลูกโต ที่ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าขาวอ่ะค่ะ ...... ซึ่งจุดนี้เนี่ย เป็นจุดที่พิมไม่เคยมีข้อมูลมาก่อนเลยนะคะ เรียกว่ามาเจอโดยบังเอิญ แต่จากการที่ได้ลงไปคุยกับชาวบ้านแถวนั้น เค้าก็บอกว่าชาวบ้านปลูกดาวเรืองไว้ตัดดอกขายแหละค่ะ แต่ว่านักท่องเที่ยวที่ผ่านมาผ่านไปก็สามารถจอดรถลงไปเดินชมและถ่ายรูปได้นะคะ หรือถ้าจะซื้อดอกดาวเรืองเอากลับไปร้อยมาลัยถวายพระ จัดใส่แจกันวางไว้ในบ้านให้ดูสวยงาม ชาวบ้านเค้าก็ยินดีอ่ะค่ะ ขอเพียงแต่เวลาลงไปถ่ายรูป ไม่ย่ำต้นไม้เค้าจนเสียหาย ไม่เด็ดดอกดาวเรืองของเค้าทิ้ง ๆ ขว้างๆ เค้าก็โอเคอ่ะค่ะ ^_^
(จุดสีเหลืองในภาพ คือ ทุ่งดอกดาวเรือง)
จากทุ่งดอกดาวเรือง จุดหมายถัดไปของพิมก็เป็นบ้านแล้วนะคะ ซึ่งจากจุดนี้ไปเนี่ย ใช้เวลาประมาณเกือบ 4 ชั่วโมงก็จะถึงบ้านพิมล่ะค่ะ โดยระหว่างทางพิมก็คงจะไม่แวะที่ไหนแล้ว เพราะเที่ยวก็เต็มที่แล้ว ท้องก็อิ่มแล้ว แถมหนังตาจะปิดอีกต่างหาก >_< หากจะแวะก็คงแวะกันแต่ห้องน้ำเพียงอย่างเดียว ^^" .... เพราะงั้นแล้วสำหรับทริปสระแก้วในครั้งนี้ พิมก็คงจะขอลาเพื่อน ๆ กันตรงนี้เลยดีกว่านะคะ
และถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีอะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับจังหวัดสระแก้ว ไม่ว่าจะเรื่องกิน เรื่องเที่ยว หรือร้านอาหารที่น่าสนใจ ก็กระซิบบอกพิมกันมาบ้างเน๊าะคะ เผื่อว่าวันหลังพิมได้ไปอีก จะได้แวะไปเที่ยวไปทาน และเอากลับมารีวิวให้เพื่อนๆ คนอื่นได้ดูกันอ่ะค่ะ ...... แล้วพบกันใหม่กับทริปสนุก ๆ จากพิมในครั้งหน้านะคะ สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ เอ๊ยยย สวัสดีค่า ^_^