ถ้าถามถึงจังหวัดสระแก้ว พิมเชื่อว่าหลายคนอาจจะงง ๆ และถามพิมกลับว่าจังหวัดนี้อยู่ตรงไหนของประเทศไทย แต่ถ้าถามว่าแล้วรู้จักโรงเกลือไหม พิมเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยจะต้องรู้จัก แต่แค่ไม่รู้จักว่ามันอยู่ในจังหวัดสระแก้วก็เท่านั้นเองค่ะ ^^
สระแก้ว เป็นจังหวัดนึงของประเทศไทยที่อยู่ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกนะคะ (บางคนอาจจะคิดว่าภาคอิสานเน๊าะ ^^") สมัยก่อนเนี่ยสระแก้วเป็นตำบลนึงในจังหวัดกบินทร์บุรีค่ะ ต่อมากบินทร์บุรีถูกยุบรวมเป็นอำเภอนึงของจังหวัดปราจีนบุรีในช่วงประมาณปี 2501 สระแก้วก็เลยกลายเป็นอำเภอนึงของปราจีนบุรีไปนะคะ แล้วต่อมาราวๆ ปี 2536 ด้วยจำนวนผู้คนที่มากขึ้น และด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง สระแก้วก็ถูกขยับฐานะให้เป็นจังหวัดที่ 74 ของประเทศไทยแทนอ่ะค่ะ
เมื่อพูดถึงจังหวัดสระแก้วเนี่ย พิมเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็รู้แค่ว่านั่นคือจังหวัดสระแก้วเน๊าะคะ แต่ก็จะไม่รู้ว่าจังหวัดสระแก้วมีดีอะไร มีของกินอะไรที่น่าสนใจ และมีที่เที่ยวตรงไหนบ้าง (ที่ยกเว้นโรงเกลือ) อ่ะค่ะ เพราะนั้นแล้ววันนี้พิมก็เลยอยากจะมาชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยวสระแก้วกันนะคะ รับรองว่างานนี้ทั้งอร่อย และสนุกตลอดทริปแน่นอนค่า ^_^
ทริปนี้ของพิม เป็นทริป 2 วัน 1 คืน ที่เดินทางในช่วยปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมานะคะ โดยหลังจากที่พิมกินข้าวเช้าจากที่บ้านเรียบร้อยแล้ว จุดหมายแรกของพิมก็คืออุทยานแห่งชาติปางสีดาอ่ะค่ะ (ขอบอกเลยว่า อยากมานานมากๆ แล้วจ้า)
อุทยานแห่งชาติปางสีดา เป็นส่วนหนึ่งของผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่นะคะ (หลายคนน่าจะรู้จักเขาใหญ่เน๊าะ) ตัวอุทยานเนี่ยมีพื้นที่ประมาณ 5 แสนกว่าไร่ ครอบคลุม 4 อำเภอ ในจังหวัดปราจีนบุรีกับสระแก้วอ่ะค่ะ สภาพป่าของปางสีดาเนี่ย จากที่ได้มีนักวิชาการเข้าไปสำรวจ ก็พบว่าในปัจจุยันเนี่ย ความสมบูรณ์ยังมีมากกว่า 90% เลยนะคะ และด้วยความสมบูรณ์นี่แหละก็เลยทำให้เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าหายากและนกกว่า 300 ชนิด รวมไปถึงจรเข้น้ำจืดที่หลายคนเชื่อกันว่า เหลืออยู่ที่นี่เป็นที่เดียวในประเทศไทยเลยอ่ะค่า
แต่วันนี้เนี่ย พิมไม่ได้จะมาพาเพื่อน ๆ ไปดูจรเข้กันนะคะ ^_^ เพราะถึงอยากดู มันก็ไม่ออกมาให้ดูค่ะ >_< แต่พิมจะมาชวนเพื่อน ๆ ไปดูผีเสื้อกันต่างหากนะคะ เพราะที่ปางสีดาเนี่ย นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นป่าที่มีนกเยอะแล้ว ก็ยังมีผีเสื้อเยอะอีกด้วยอ่ะค่ะ ^_^ และทุกช่วงเดือนมิถุนา-กรกฎา (ปีนี้เห็นว่ามีถึงสิงหา) ที่นี่เค้าก็จะมีการจัดเทศกาลดูผีเสื้อที่ปางสีดากันด้วยนะคะ ซึ่งแน่นอนว่างานนี้มาสระแก้วทั้งที แถมยังมาตรงกับช่วงเทศกาลผีเสื้ออีก คนที่ชอบของสวย ๆ งาม ๆ อย่างพิมไม่พลาดแน่นอนจ้า
(ภาพด้านล่าง - โป่งเทียมสำหรับผีเสื้อ)
พูดถึงผีเสื้อแล้ว ตามที่พิมได้เคยอ่านข้อมูลจากข่าวประชาสัมพันธุ์ต่าง ๆ เค้าบอกเอาไว้ว่าปางสีดาเนี่ย มีผีเสื้อเยอะถึง 350 กว่าสายพันธุ์เลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นวงศ์บินเร็ว (เข้าใจว่าผีเสื้อกลุ่มนี้น่าจะบินเร็วมาก เลยได้ชื่อนี้) วงศ์หนอนกะหล่ำ วงศ์หางติ่ง ผีเสื้อกาหลิบแดง ผีเสื้อลายซิกแซก ผีเสื้อพระเสาร์ใหญ่ ผีเสื้อฟ้าเฟลเดอร์ตาแมวม่วง และผีเสื้ออื่น ๆ อีกมากมายหลายพันธุ์เลยอ่ะค่ะ
ซึ่งผีเสื้อที่นี่เนี่ย ค่อนข้างตื่นเสียงดังพอสมควรนะคะ (ตามธรรมชาติของสัตว์ป่า) เพราะงั้นแล้วถ้าเพื่อน ๆ มาชมผีเสื้อที่นี่ ควรมาชมในช่วงประมาณ 6 โมงถึง 11 โมงเช้านะคะ พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ควรเกินนี้ ถ้า 7-8-9 โมงยิ่งดี เพราะผีเสื้อชอบแสงแดดอ่อน ๆ ค่ะ และที่สำคัญอย่าส่งเสียงดังนะคะ ไม่ว่าจะเดิน คุย ให้เบาและเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ ...... ถ้าทำได้อย่างนี้ รับรองว่าเราจะได้ชมผีเสื้อสวย ๆ กันอย่างใกล้ชิดแบบพิมแน่นอนค่า
พูดถึงผีเสื้อแล้ว ไม่พูดถึงจุดชมผีเสื้อคงไม่ได้ ..... เพราะที่ปางสีดานี่มีจุดให้เราได้ไปชิม เอ๊ยย ไปชิมผีเสื้อกันอยู่หลายจุดเลยนะคะ แต่จุดที่เน้น ๆ ที่เราเหล่านักท่องเที่ยวสามารถขับรถเข้าไปดูได้เลยแบบไม่ต้องไปขออนุญาติใครก่อน ก็อยู่บริเวณจุดดูผีเสื้อด่าน 2 (โป่งรับแขก) ลานจอดรถทางลงน้ำตกปางสีดา ลานฮอ โป่งฝายน้ำล้นหลังโรงอาหารอุทยานฯ ทุ่งหญ้าแปลงปลูกป่า หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (หลังเก่า) ลานกางเต็นท์หลังศูนย์ฯ และต้นไม้ 2 ข้างทาง ที่กำลังออกดอกอ่ะค่ะ เพราะงั้นแล้วเพื่อน ๆ ถนัดตรงไหน ชอบไปตรงไหน ก็เอาตามที่สะดวกเลยจ้า
และนอกจากแหล่งดูผีเสื้อแล้ว ด้วยความที่อุทยานแห่งชาติปางสีดาเป็นแหล่งต้นน้ำสายสำคัญของแม่น้ำบางปะกง (ที่ไหลมาจากน้ำตกเหวนรก-เขาใหญ่ อีกที) ก็เลยทำให้อุทยานแห่งชาติปางสีดามีน้ำตกหลายแห่งเลยอ่ะค่ะ ซึ่งน้ำตกที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดี แบบว่าสามารถขับรถเข้าไปจอดใกล้ ๆ น้ำตกได้เลย ก็คือน้ำตกปางสีดานะคะ ส่วนน้ำตกอื่นๆ เช่น น้ำตกน้ำตกผาตะเคียน น้ำตกลานแก้ว น้ำตกแควมะค่า น้ำตกทับซุง น้ำตกถ้ำค้างคาว จะอยู่เข้าไปในป่าลึกหน่อย ประมาณว่าจอดรถแล้วต้องเดินอย่างน้อย 2 กม. อ่ะค่ะ เพราะงั้นวันนี้พิมขอพาไปชมแค่น้ำตกปางสีดาอย่างเดียวก่อนเน๊าะคะ แล้วเดี๋ยววันไหนฤกษ์งามยามดี มีเวลาเยอะ ๆ พิมจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวน้ำตกอื่นๆ กันอีกค่ะ ^^
น้ำตกปางสีดา เป็นน้ำตกที่อยู่ห่างจากถนนสายหลักในอุทยานแค่ประมาณ 100 เมตรเท่านั้นนะคะ เรียกว่าเดินไม่ทันหายเหนื่อย ก็ถึงตัวน้ำตกแล้วค่ะ น้ำตกปางสีดาแม้จะเป็นน้ำตกที่มีความสูงแค่ 8 เมตร แต่ด้านล่างเป็นแอ่งน้ำใหญ่ มีปลาตัวเล็กตัวน้อยว่ายวนไปมา แถมยังมีต้นไม้ เยอะ มีผีเสื้อแปลกตาเยอะ .. ในช่วงหน้าฝน บางวันก็เลยจะมีนักท่องเที่ยวมานั่งพักผ่อน เดินชมธรรมชาติกันพอควรเลยอ่ะค่ะ
น่าเสียดายว่าช่วงที่พิมไป เพิ่งผ่านหน้าแล้งมาหมาด ๆ แถมปีนี้ฝนก็ยังไม่ค่อยตก เลยทำให้น้ำตกมีน้ำน้อยไปนิด แต่คิดอีกทีก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบเน๊าะคะ ^^ (หน้าน้ำเยอะจะเป็นช่วงกันยา ตุลา พฤศจิกาค่ะ)
และหลังจากดูผีเสื้อ นั่งเล่นที่น้ำตกสักพัก พิมก็เริ่มหิวข้าวแล้วอ่ะค่ะ -*- ก็เลยชวนคุณสามีว่าไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันดีกว่า ซึ่งเท่าที่พิมลองหาข้อมูลดูแล้ว แถวนี้ไม่ค่อยมีร้านอาหารสักเท่าไหร่นะคะ (ไม่ใช่ว่าไม่มีร้านอร่อยนะ แต่ไม่ค่อยมีร้านอาหาร) แต่ถ้าขับรถไปอีกสักประมาณครึ่งชั่วโมง ที่อ่างเก็บน้ำพระปรง จะมีร้านที่มีอาหารอร่อย ๆ ให้เราเลือกทานเยอะเลยค่ะ เพราะงั้นแล้วจะรีรออะไร ตรงไปที่อ่างเก็บน้ำพระปรงเลยค่า
อ่างเก็บน้ำพระปรงเนี่ย จะว่าไปก็เป็นอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติปางสีดานะคะ เพียงแต่ว่าจะอยู่อีกฝั่งนึง คนละฝั่งกับที่พิมไปดูผีเสื้อเมื่อกี้อ่ะค่ะ อ่างเก็บน้ำพระปรงเป็นอ่างเก็บน้ำที่มีขนาดใหญ่มาก และสร้างเพื่อกั้นต้นน้ำห้วยพระปรงที่ไหลมาจากอุทยานแห่งชาติปางสีดานะคะ
และด้วยความที่อ่างห้วยพระปรงเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ แถมยังขึ้นชื่อเรื่องของความอุดมสมบูรณ์ ก็เลยทำให้ที่อ่างนี้เป็นแหล่งอยู่อาศัยของปลาน้อยใหญ่มากมายหลายชนิดเลยอ่ะค่ะ
แต่ความมีเสนห์ของอ่างเก็บน้ำพระปรงไม่ได้อยู่ที่ขนาดใหญ่หรืออยู่ที่มีปลาเยอะนะคะ ^_^ แต่อยู่ที่การได้นั่งเรือ ล่องแพชมวิวธรรมชาติ ได้ดูนกนานานชนิด โดยเฉพาะนกน้ำขนาดใหญ่ที่หายาก และใกล้สูญพันธุ์อย่าง “นกอ้ายงั่วหรือนกงู” ที่เคยมีรายงานการพบนกชนิดนี้ที่นี่มากถึง 70-100 ตัวเลยอ่ะค่ะ
และที่สำคัญนอกจากที่นี่จะมีวิวสวย มีนกเยอะแล้ว (แต่นกต้องลงเรือไปดูนะคะ) ก็ยังมีร้านอาหารแนวอิสานอร่อย ๆ อีกด้วยอ่ะค่า (อันนี้สำคัญสุดเลย)
ร้านอาหารที่พิมมาฝากท้องมื้อเที่ยงวันนี้ ชื่อว่าร้านสมปองปลาเผานะคะ เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมอ่างเลยอ่ะค่ะ ประมาณว่าขับรถตรงมาในบริเวณอ่าง จะเจอเป็นร้านแรกฝั่งขวามือเลยนะคะ แถมนอกจากจะหาง่าย อาหารอร่อย วิวสวย บรรยากาศงามแล้ว ลมก็ยังพัดเย็นมากๆ เลยค่ะ
สำหรับอาหารมื้อนี้ที่พิมสั่งไป ก็จะมีต้มยำปลาคัง มียำรวมมิตร ลาบหมู ส้มตำไทย และก็ปลาทับทิมเผาเกลือนะคะ อาหารโดยรวมของที่นี่ราคาเฉลี่ยถ้าเป็นพวกส้มตำ จะอยู่ที่จานละ 35-50 ยำลาบจะอยู่ที่จานละ 100-120 ต้มยำจะอยู่ที่หม้อละ 150 และถ้าเป็นปลาเผา ปลาทอด ปลานึ่ง จะอยู่ที่จานละประมาณ 250 ค่ะ ^_^
เริ่มจากจานแรก #ตำไทย ขอบอกว่าหน้าตาธรรมดา ๆ แบบนี้ แต่รสชาติใช้ได้เลยค่ะ ไม่เผ็ดมาก แล้วก็เปรี้ยวหวานกลมกล่อมกำลังดี ที่สำคัญ #มะละกอกรอบ กินแล้วไม่เหนียว ไม่ติดฟัน ตรงนี้ดีงามเลยค่า
ต่อมาเป็นจานสองนะคะ #ลาบหมู เมนูพื้น ๆ ประมาณว่าสั่งทานที่ไหนก็ได้ แต่สั่งทานที่นี่นอกจากปริมาณจะเยอะแล้ว (เมื่อเทียบกับราคาร้อยนึง) รสชาติก็ยังใช้ได้อีกด้วยค่ะ แต่น่าเสียดายว่าเค้าไม่มีผักแกล้มมาให้ด้วย ถ้ามีล่ะดีงามเลยค่า
จานสาม อันนี้เป็นยำรวมมิตรนะคะ ....... จานนี้พิมแอบขำนิ๊ดดดนึงอ่ะค่ะ คือยำรวมมิตรตามประสาพิม ก็คือยำรวมเนื้อสัตว์หลายอย่าง เช่น หมึก กุ้ง หมูสับ ลูกชิ้นปลา หอยแมลงภู่ ไส้กรอก ปูอัด ฯลฯ แล้วก็ใส่วุ้นเส้น ใส่ถั่วลิสงทอดด้วยประมาณนี้เน๊าะคะ .... แต่...แต่...แต่ ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น ระยทางที่ห่างจากตัวเมือง และห่างไกลตลาด อีกทั้งปกติแล้วไม่ค่อยมีใครสั่งเมนูประมาณนี้กิน ยำรวมมิตรของที่นี่ก็เลยกลายเป็นยำที่มีส่วนผสมแค่หมูสับปั้นก้อน กับกุ้งลวกสุก และ หอมใหญ่กับมะเขือเทศเท่านั้นเองอ่ะค่ะ ..... แต่ดีว่ารสชาติอร่อยใช้ได้ จานนี้ก็เลยโอเคค่า
ส่วนอย่างที่ 4 #ต้มยำปลาคัง .. เห็นหน้าตาเบา ๆ ดูเหมือนไม่มีอะไรแบบนี้ ขอแนะนำเลยค่ะว่าถ้ามาที่นี่ ต้องสั่งมากินนะคะ เพราะว่าอร่อยมากกกก เค้าทำมาได้แบบรสเปรี้ยว เผ็ด เค็มกลมกล่อม แล้วก็หอมกลิ่นสมุนไพรมากๆ เลยค่ะ ที่สำคัญเนื้อปลาไม่มีความคาวเลย .. คือปกติพิมไม่ชอบกินพวกปลาต้ม ปลานึ่งนะคะ รู้สึกว่ามันแหยะๆ แล้วก็มีกลิ่นเฉพาะตัว แต่ที่นี่ต้มปลาออกมาได้สุกกำลังดี และเป็นชิ้นสวยงาม เนื้อปลาไม่นิ่มไปแข็งไป แล้วก็รู้สึกได้ถึงความสดของปลาที่เอามาใช้ทำเลยอ่ะค่ะ ยังไงถ้าเพื่อนๆ มาที่นี่ แนะนำให้ลองสั่งมากินเลยนะคะ
ส่วนจานสุดท้าย จานนี้เด็ดสุดๆ ไม่ใช่แค่ควรสั่ง แต่พิมว่าถ้ามาที่นี่ต้องสั่งเลยค่ะ กับปลาเผาเกลือ จะเป็นปลาอะไรก็ได้ แต่วันนี้พิมเลือกเป็นปลาทับทิมนะคะ เค้าย่างออกมาได้กำลังดี เนื้อปลาสุกนุ่มแต่ไม่เละ และไม่แห้ง มีความหอมจากสมุนไพรที่ยัดเข้าไปในท้องปลา แล้วเสริฟมาแบบร้อนๆ พร้อมกับแจ่ว (น้ำพริกขี้กา-ตำเมื่อมีคนสั่ง-อร่อยสุดๆ) มะเขือยาวย่าง และน้ำจิ้มแบบแซ่บๆ ..... ขอบอกว่าในบรรดาอาหารที่พิมสั่งมา จานนี้แม้จะรอนานที่สุด แต่ก็อร่อยที่สุดของที่สุดเลยค่ะ
พวกปลาเผา เค้าจะย่างต่อเมื่อมีลูกค้ามาสั่ง ซึ่งใช้เวลาย่างประมาณ 50 นาที - 1 ชม. ดังนั้นแล้วถ้ามาสั่งเมนูนี้ทาน ต้องใจเย็น ๆ นิ๊ดดดดนึงนะคะ ประมาณว่ากินอย่างอื่นรอไปก่อน แล้วค่อยปิดด้วยปลาเผาเกลือเป็นอย่างสุดท้ายอ่ะค่ะ
อีกเรื่องคือที่นี่ไม่มีบริการข้าวเหนียวนะคะ ซึ่งพิมก็แอบแปลกใจ เพราะอาหารมันดูเข้ากับข้าวเหนียวมาก ๆ แต่เจ้าของร้านบอกว่าคนแถวนี้ เค้าไม่นิยมกินข้าวเหนียว จะกินพวกนี้กับข้าวสวยมากกว่า ก็เลยไม่ได้หุงข้าวเหนียวไว้ เพราะหุงแล้วก็ขายไม่ได้อ่ะค่ะ เพราะนั้นแล้วที่นี่ไม่มีข้าวเหนียว จะมีแต่ข้าวสวยนะคะ
น้ำพริกขี้กาของที่นี่ อร่อยมาก พิมไม่เคยกินน้ำพริกขี้กาที่ไหนอร่อยเท่าที่นี่มาก่อน ทั้งความหอม ทั้งรสชาติของน้ำพริกที่เข้มข้นแต่ไม่หนักเกิน ถ้ามีคะแนนเต็ม 10 พิมให้ 20 เลยค่ะ ..... เพราะงั้นแล้วใครไปกินที่นี่ อย่าลืมใส่ถุงกลับมาฝากพิมด้วยนะคะ อิอิ
จากอ่างเก็บน้ำพระปรง หลังจากเติมพลังมื้อกลางวันกันเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาไปเที่ยวที่อื่นต่อกันล่ะค่า จุดหมายอันดับถัดไปของพิมกับคุณสามีก็อยู่ที่ #ละลุ นะคะ
#ละลุ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งล่าสุดของจังหวัดสระแก้ว ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว unseen ของเมืองไทยเลยอ่ะค่ะ ^_^ ซึ่งแม้ว่าเราจะมีถนนไปถึงหน้าละลุ แต่ด้วยเส้นทางแคบๆ ที่ต้องขับผ่านเข้าไปในชุมชน ขับผ่านทุ่งนาดินแฉะ ๆ และขับขมภายในละลุ พิมเลยอยากแนะนำให้เราใช้บริการรถอีแต๊กนำเที่ยวที่มาพร้อมกับมัคคุเทศก์ เพื่อเข้าไปชมความงามของละลุจะดีกว่านะคะ เพราะเราเองก็จะได้ทั้งความสะดวกสบาย ได้ความรู้จากที่มัคคุเทศก์มาบรรยาย ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายที่จะพารถไปติดหล่ม หรือเจอดิบยุบ แล้วก็ยังได้ช่วยเหลือชาวบ้านให้มีรายได้มากขึ้น ที่สำคัญค่ารถอีแต๊กพาเที่ยวพร้อมมัคุเทศก์แค่คันละ 200 บาท แต่นั่งได้ 8-10 คน ถ้าไปกันเยอะๆ เฉลี่ยแล้วคนละ แค่ 20-30 บาทเอง ถูกสุดๆ ค่ะ ^_^
(ถนนที่จะพาเราไปยังละลุ)
ละลุ .. เป็นสถานที่่ท่องเที่ยวที่เกิดจากปรากฎการณ์ธรรมชาตินะคะ ละลุเกิดจากการที่น้ำฝนและความแรงลมกัดเซาะดิน จนทำให้ดินบางส่วนที่นุ่ม ๆ พังทลายยุบตัวลงมา เหลือแต่ดินที่มีความแข็งแรง และไม่ยุบตัวเมื่อถูกลมและฝนกัดกร่อนอ่ะค่ะ ละลุจะมีลักษณะและรูปร่างแตกต่างกันไปตามสภาวะแรงลมและน้ำนะคะ
บ้างก็เป็นรูปที่มองดูแล้วคล้ายกำแพงเมือง บ้างก็เป็นรูปทรงเหมือนหน้าผาขนาดใหญ่ บ้างก็คล้ายหอเอนปิซ่า บ้างก็ลักษณะเหมือนปราสาท บ้างก็เป็นแท่งๆ บ้างก็เป็นรูปทรงแปลก ๆ จนอยากจะจินตนาการได้ว่าเหมือนอะไรอ่ะค่ะ (แล้วแต่คนมองเน๊าะ) ^^" ซึ่งในทุกๆปี ละลุก็จะมีการเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อย ขึ้นกับลมขึ้นกับฝนนะคะ เพราะนั้นถ้ามาเที่ยวที่นี่ทุกปี รับรองว่าเพื่อน ๆ ก็จะเห็นละลุเปลี่ยนแปลงไปทุกปีเลยอ่ะค่ะ และที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างนอกจากความสวยแปลกตาของละลุแล้ว ก็คือพื้นที่บางส่วนของละลุจะอยู่กลางแปลงนาของชาวบ้านนะคะ ทำให้เวลามองดูละลุซึ่งสีน้ำตาลทองอ่อน ๆ ตัดกับสีเขียวสดของต้นข้าวในยามหน้าฝน ก็เลยกลายเป็นภาพที่สวยงามมาก ชนิดที่ไม่สามารถหาดูได้ในกรุงเทพฯ และที่อื่นเลยอ่ะค่ะ ^_^
#ละลุ ที่จังหวัดสระแก้วนี่จะว่าไปก็มีลักษณะคล้ายกันกับ #แพะเมืองผี ที่จังหวัดแพร่ และ #เสาดินนาน้อย ที่จังหวัดน่านนะคะ ไม่รุ้ว่ามีเพื่อน ๆ คนไหนเคยไปบ้างไหมอ่ะค่ะ .... แต่ว่าถึงหน้าตาจะคล้าย ๆ กัน ก็มีความแตกต่างกันในเรื่องของพื้นที่ ในเรื่องของความสูง ขนาด และรูปร่าง หน้าตาอยู่นะคะ ซึ่งในบรรดา 3 ที่นี่เนี่ย ละลุจะมีพื้นที่มากสุด มีจำนวนแท่งดินมากสุด และก็มีความหยักตื้นเยอะที่สุดอ่ะค่ะ (แต่เหมือนว่าจะเตี้ยที่สุดด้วยนะ ^^) แต่ไม่ว่าจะเสาดินนาน้อย แพะเมืองผี หรือละลุ ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติประเภทนี้จะใช้เวลาในการก่อร่างสร้างตัวประมาณ 20,000-50,000 ปีเลยนะคะ แล้วก็มีการสะสมของตะกอนดินที่ใช้เวลาถึง 150 ล้านปีเลยอ่ะค่ะ แถมตรงไหนที่เป็นแท่งบาง ๆ เป็นมุมบาง ๆ ก็ยังมีความแตกหักง่ายด้วยนะคะ >_< เพราะงั้นแล้วเพื่อน ๆ คนไหนที่ไปเที่ยวละลุ หรือชอบสถานที่ท่องเที่ยวแนว ๆ นี้เหมือนพิม หากได้ไปก็อย่าลืมถ่ายรูปกันมาเป็นที่ระลึกเยอะๆ นะคะ เพราะละลุเปลี่ยนไปทุกปีจ้า
ละลุมีโฮมสเตย์ด้วย ถ้าเพื่อน ๆ สนใจ ติดต่อได้ที่คุณรำไพ โคตรประทุม ประธานกลุ่มละลุโฮมสเตย์ โทร. 089 098 0772 นะจ๊ะ ^_^
จากละลุ พิมตั้งใจว่าจะขับรถตรงดิ่งไปที่แถววัดนครธรรม ที่อยู่ในเขตอำเภอวัฒนานคร เพื่อไปชิมข้าวหลามป้าบาง ข้าวหลามเจ้าแรกของสระแก้วที่มีไส้สังขยาด้วนะคะ ^_^ แต่เผอิญว่าหลังจากออกจากละลุมาไม่ไกลนัก ประมาณ 10 กว่านาที ระหว่างทางพิมผ่านสถานที่ ๆ เรียกกันว่า นานาธรรมสถาน แล้วรู้สึกสนใจก็เลยขอแวะลงไปดูหน่อยอ่ะค่ะ
นานาธรรมสถาน เป็นสถานปฎิบัติธรรมแห่งใหม่ของจังหวัดสระแก้วนะคะ เกิดจากรวมตัวของพุทธศาสนิกชนและผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ที่มาร่วมตัวกันบริจาคเงินแล้วสร้างนานาธรรมสถานขึ้นมาอ่ะค่ะ โดยตั้งแต่เริ่มสร้างจนถึงปัจจุบันใช้เวลาสร้างไปกว่า 3 ปีแล้วนะคะ แม้จะยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี แต่ก็เปิดให้เข้าไปชม เข้าไปถ่ายภาพได้อ่ะค่ะ ^_^
ภายในบริเวณนานาธรรมสถาน ก็จะมีพระพุทธรูปประธานองค์ใหญ่มาก 3 องค์ และพระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่รองลงมาอีก 320 องค์นะคะ แล้วก็ยังมีพระพุทธรูปองค์เล็กอีกกว่า 5000 องค์ด้วยอ่ะค่ะ ซึ่งจุดประสงค์ในการสร้างนานาธรรมสถานนี่ นอกจากจะเพื่อให้เป็นสถานปฏิบัติธรรมแล้ว ทางกลุ่มผู้สร้างก็ยังกะว่าจะทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมุมมองใหม่ของจังหวัดสระแก้วอีกด้วยอ่ะค่ะ ดังนั้นแล้วใครที่ชอบสถานที่ท่องเที่ยวแนว ๆ นี้ ก็ลองมาแวะชมกันนะคะ รับรองจะชอบค่ะ ^_^
จากนานาธรรมสถาน แน่นอนว่าจุดหมายถัดไปของพิมก็ต้องเป็นร้านข้าวหลามป้าบาง ที่อยู่หลังวัดนครธรรม ในเขตพื้นที่อำเภอวัฒนานครนะคะ
พูดถึงข้าวหลามแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ !! ทำไมพิมถึงต้องมากินข้าวหลามที่วัฒนานคร มันมีความพิเศษและแตกต่างจากข้าวหลามหนองมนตรงไหน พิมก็อยากจะเล่าให้ฟังอย่างนี้ค่ะ .. คือปกติแล้วข้าวหลามที่เราซื้อ ๆ กัน มันจะเป็นกระบอกไม้ไผ่สีเขียว ๆ แข็งๆ ใช่ไหมคะ แล้วเวลาทานก็จะต้องหาค้อนหรือหาอะไรแข็งๆ มาทุบให้กระบอกแตก เพื่อที่จะแกะเอาข้าวหลามข้างในมากินอ่ะค่ะ แต่ข้าวหลามของที่นี่เนี่ย หลังจากเผาเสร็จแล้ว คนขายเค้าจะปอกไม้ไผ่แข็ง ๆ ออก เหลือแต่ไม้ไผ่บาง ๆ นะคะ ทำให้นอกจากจะไม่หนักเวลาถือแล้ว เวลาจะกินก็ไม่ต้องลำบากไปหาค้อนมาทุบ แค่เอามือบีบเบา ๆ กระบอกก็จะแตก เราก็สามารถใช้ช้อนตักข้าวหลามมากินได้เลยอ่ะค่ะ ^_^
และหลังจากที่พิมได้ซื้อมาชิม ก็พบว่าข้อแตกต่างอีกอย่างนึงระหว่างข้าวหลามบ้านพร้าวกับข้าวหลามหนองมน ก็คือรสชาติของข้าวเหนียวที่อยู่ในกระบอกนะคะ โดยข้าวหลามหนองมน ข้าวเหนียวในกระบอกรสชาจิจะเบาๆ แต่ตรงปากกระบอกจะรสชาติเข้มข้นมากเลยอ่ะค่ะ ส่วนข้าวหลามบ้านพร้าว ทั้งกระบอกรสชาติจะพอ ๆ กัน หวานมันเฉลี่ยทั่วทั้งกระบอก ไม่มีส่วนไหนรสเข้มข้นเป็นพิเศษนะคะ แถมยังมีทั้งแบบข้าวหลามธรรมดา (3-4 กระบอกร้อย) และข้าวหลามที่มีไส้สังขยา (2 กระบอกร้อย) ด้วยอ่ะค่ะ ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนแวะผ่านไป ก็อย่าลืมลองไปหามาชิมกันนดคะ อร่อยดีงามเลยค่า
ข้าวหลามมีอายุ 3 วัน นับจากวันที่ทำ
นอกจากป้าบางแล้ว ข้าวหลามป้าสำรวย ป้าไร ก็อร่อยไม่แพ้กันเลยนะคะ แถมร้านยังอยู่ใกล้ ๆ กันอีกด้วยค่ะ
ข้าวหลามไส้สังขยา จะเป็นการนำเอาข้าวหลามไปเผาแบบปกติก่อน จากนั้นพอข้าวหลามเริ่มสุก ก็จะนำออกมาจากเตา เจาะข้าวเหนียวในกระบอกให้เป็นรู เทส่วนผสมสังขยาใส่ลงไป (ในปริมาณเยอะมาก) แล้วเผาต่อจนสุก ก็ใช้ได้อ่ะค่ะ
ถ้าใครเข้าไปซื้อข้ามหลามที่ร้าน 3 ป้านี้แล้วหมด ให้ออกมาตรงถนนสุวรรณศรนะคะ เพราะริมถนนสายนี้จะมีข้าวหลามขายเป็นจำนวนมาก และมีหลายเจ้าที่ไปรับมาจาก 3 ป้านี้อ่ะค่ะ เพราะงั้นแล้วถ้าที่ร้านป้า ๆ หมด มาดูได้ที่ร้านเหล่านี้เลยนะคะ ราคาเท่ากันจ้า (แต่แนะนำให้เข้าไปซื้อที่ร้านป้า เพราะสดใหม่กว่า)
จากร้านข้าวหลามป้าบาง ตอนแรกพิมคิดว่าจะไปเช็คอินห้องพักก่อนจะไปหาที่กินข้าวเย็น เพราะกลัวว่ามืดแล้วจะถ่ายภาพที่พักออกมาไม่สวยนะคะ แต่คิดไปคิดมา คือตอนนั้นหิวมาก (หิว 24 ชั่วโมง ฮ่าๆ) ถ้าไปที่พักก่อน กว่าจะเช็คอิน กว่าจะเอาเป๋าไปเก็บในห้อง กว่าจะล้างหน้าล้างตาเข้าห้องน้ำ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องปาเข้าไป 1 ชม. ครึ่งอย่างแน่นอนอ่ะค่ะ ซึ่งตอนนั้นมันเป็นเวลา 5 โมงครึ่งกว่าๆ แล้ว ก็เลยคิดว่างั้นเราไปกินข้าวก่อนน่าจะเป็นการดีกว่าเน๊าะคะ >_<
จุดหมายมื้อเย็นของพิมในวันนี้ พิมแพลนเอาไว้ว่าอยากกินอาหารถิ่นอร่อย ๆ ของจังหวัดสระแก้วอ่ะค่ะ ^_^ ซึ่งอาหารถิ่นของที่นี่ แน่นอนว่าก็ต้องเป็นอาหารเวียดนามนะคะ แต่ไม่รู้บังเอิญหรือโชคร้าย T_T วันที่พิมไป ร้านอาหารที่พิมอยากไป 3 ร้าน (ร้านเจ๊เง็ก ร้านแอนซัน ร้านยายเต็ม) เค้าปิดหมดเลย แถมปิดที่ละหลายวันซะด้วย >_< พิมก็เลยตัดสินใจไปกินที่ร้านยายต๊าม ซึ่งเป็นร้านอาหารเวียดนามร้านแรกของอำเภอเมืองอรัญแทนอ่ะค่ะ
ร้านยายต๊าม เป็นร้านอาหารเวียดนามเล็กๆ ที่เปิดเป็นเจ้าแรกในอรัญนะคะ เพราะงั้นสไตล์การตบแต่งร้านก็เลยอาจจะดูล้าสมัยไปสักหน่อย เก่าไปสักหน่อย แต่รสชาติของอาหาร (ในวันที่พิมไป) พิมว่ายังโอเคอยู่อ่ะค่ะ
ยายต๊าม (คุณป้าเจ้าของร้าน) แต่เดิมเป็นสาวเวียดนามใต้ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย แล้วก็ทำอาหารเวียดนามเลี้ยงชีพนะคะ โดยยายต๊ามขายอาหารเวียดนามมาตั้งแต่ปอเปี๊ยะทอดอันละสลึง แหนมเหนืองพร้อมผักไม้ละบาท จนตอนนี้ทั้งปอเปี๊ยะและแหนมเนืองอันละเป็นสิบบาทแล้วอ่ะค่ะ ^^
และด้วยความที่ร้านยายต๊ามเป็นร้านที่เปิดมานานมาก บวกกับยายต๊ามอาจจะไม่ค่อยมีความถนัดในการครีเอทเมนูใหม่ๆ เมนูของร้านยายต๊ามก็เลยมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับร้านอื่น ๆ นะคะ โดยหลัก ๆ ก็จะมีอยู่แค่ 7 เมนู คือ ปอเปี๊ยะสด ปอเปี๊ยะทอด ทอดมันปลาเวียดนาม หมี่หน้าหมู แหนมเนือง ขนมเบื้อง และปากหม้อเวียดนามเท่านั้นอ่ะค่ะ แต่ว่าถ้าตั้งใจมาทานอาหารเวียดนามแบบดั้งเดิมจริง ๆ สำหรับพิมว่าเท่านี้ก็โอเคอยู่นะคะ ^_^
สำหรับอาหารที่พิมสั่งมาทานวันนี้เนี่ยจะเป็นอาหารแบบเซตค่ะ คือที่ร้านนี้เค้าไม่มีอาหารแบบสั่งเป็นจานเดี่ยว ๆ แต่จะมีขายเป็นเซตนะคะ เช่น เซตเล็กจะหมี่แหนมเนือง ปอเปี๊ยะสด ปอเปี๊ยะทอด และหมี่หน้าหมู ราคาก็ 200 บาทอ่ะค่ะ ส่วนเซตกลางมีอาหารเหมือนเซตแรก แต่ปริมาณจะมากขึ้น และเพิ่มทอดมันปลามาอีกอย่าง สนนราคาก็ 300 บาทนะคะ ส่วนเซตใหญ่สุดก็จะเหมือนเซตกลาง แต่เพิ่มปากหม้อเวียดนาม กับ ขนมเบื้องเวียดนามเข้ามาด้วยอีก 2 อย่าง สนนราคา ก็ 400 บาทถ้วน ๆ อ่ะค่ะ
..... ตอนแรกพิมก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะสั่งเซตไหนดี เพราะมันดูน่ากินไปซะทุกเซตเลยนะคะ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจสั่งเป็นเซตใหญ่มา เพราะจะได้ชิมทุกอย่างอ่ะค่ะ (เซตใหญ่มีครบ 7 อย่าง เซตอื่นไม่ครบ) ^_^
เริ่มกันที่จานแรก ... ทอดมันปลาแบบเวียดนามนะคะ เป็นเมนูที่พิมไม่เคยกินมาก่อนเลยในชีวิต ตอนแรกก็นึกไม่ออกว่ารสชาติจะเป็นยังไง จะหวานไหม แต่พอได้ลองชิมแล้ว อร่อยดีค่ะ คาดว่าวิธีการทำเค้าน่าจะคล้าย ๆ กับการทำกุ้งกระเบื้องแบบของไทยเราเน๊าะคะ (น่าจะของไทยเน๊าะ ^^) คือนำเนื้อปลาบดปรุงรสไปทาบนแผ่นปอเปี๊ยะ แล้วนำไปทอดให้กรอบนอกนุ่มใน จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ เวลาทานก็ทานคู่กับน้ำจิ้มเปรี้ยวๆ หวาน ๆ รสชาติโดยรวม อร่อยดีค่ะ ถ้าให้สั่งเพิ่มก็เอานะคะ 555 ^^
ส่วนจานสอง เป็นขนมเบื้องญวณค่ะ ... พิมว่าหลายคนน่าจะรู้จักขนมเบื้องญวณ แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าขนมเบื้องญวณแท้ ๆ ตามตำรับดั้งเดิม แป้งด้านนอกจะต้องกรอบเหลืองแบบนี้นะคะ เพราะส่วนใหญ่เราจะเจอแต่แบบที่เหมือนไข่เจียวอ่ะค่ะ ^^" ส่วนไส้ข้างในตามตำรับดั้งเดิมก็จะเป็นหมูสับ/ไก่สับ ผัดกับวุ้นเส้น ถั่วงอก และก็เห็ดหูหนู รสชาติจืด ๆ หน่อย แต่ทานคู่กับน้ำจิ้มแล้วก็อร่อยดีนะคะ
อย่างที่สาม คือข้าวเกรียบปากหม้อญวณค่ะ ... ปกติข้าวเกรียบปากหม้อญวณที่พิมเคยกินเวลามีเทศกาลงานอาหารต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ เค้าจะไม่มีหมูยอโรยหน้า และก็ทานกับน้ำจิ้มใส ๆ รสเปรี้ยวหวานที่มีพริกบดสีแดง ๆ เขียว ๆ นะคะ แต่ที่นี่เค้าจะมีหมูยอโรยมาให้ด้วย แจ่มเลยยยย และเวลาทาน ก็ทานกับน้ำจิ้มข้นๆ ใส่ถั่ว ร่อยไปอีกแบบอ่ะค่ะ ^_^
อย่างที่สี่ ... คือ บั่นหอย หรือที่เรียกภาษาไทยว่า หมี่หน้าหมูนะคะ จานนี้เนี่ยเค้าจะเอาเส้นหมี่ไปลวกน้ำจนนิ่ม แล้วเอามาคลุกแป้งข้าวเจ้ากับน้ำมันต้นหอม เสร็จแล้วก็เอาไปนึ่งให้แป้งข้าวเจ้าสุกอีกที ก่อนจะมาจัดใส่จาน หั่นหมูสามชั้นต้นลงไป แล้วเวลาทานก็ทานคู่กับถั่วงอกดิบ แตงกวาหั่นชิ้น และก็นำ้จิ้มถั่วรสเปรี้ยวหวาน ไม่ก็น้ำจิ้มรสเผ็ดเปรี้ยวที่คล้ายน้ำจิ้มทะเล ก็อร่อยไปอีกแบบอ่ะค่ะ
ส่วนจานที่ 5 เป็นแหนมเนืองสไตล์เวียดนามนะคะ เสริฟมาพร้อมกับสับปะรด แตงกวา กล้วยดิบ พริกขี้หนู และก็กระเทียมหั่นค่ะ .... ทั้งรสสัมผัสของเนื้อหมู และรสชาติของน้ำจิ้มจะค่อนข้างแตกต่าง จากพวก VT หรือ แดงแหนมเนือง แต่พิมว่าโดยรวมแล้วก็อร่อยสไตล์เวียดนามดีนะคะ ^^
ส่วนจานสุดท้าย เป็นปอเปี๊ยะสดกับปอเปี๊ยะทอดค่ะ อันนี้รสชาติธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ก็ไม่มีอะไรแย่ ทานได้สบายๆ นะคะ
รวม ๆ แล้วทั้งหมดก็จะเป็นแบบนี้อ่ะค่ะ กินกันจนอิ่มอืด แต่ค่าเสียหายรวมน้ำรวมน้ำแข็งแค่ 400 กว่าบาท โอเคเลยนะคะ ^^
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ก็ได้เวลาไปเช็คอินที่พักแล้วอ่ะค่ะ สำหรับคืนนี้เนี่ยพิมจองที่พักไว้ที่ Le Blocs ซึ่งอยู่ห่างจากร้านยายต๊ามไปไม่ถึง 3 กม. นะคะ (อยู่ตรงกลางระหว่างร้านยายต๊าม กับโรงเกลือพอดีเลยค่ะ ^^)
Le Blocs เป็นรีสอร์ทที่ใช้ตู้คอนเทนเนอร์มาทำเป็นห้องพักนะคะ พิมเคยเห็นรีวิว Le Blocs ครั้งแรกก็ประมาณ 4-5 ปีทื่แล้ว สมัย Le Blocs เพิ่งเปิดใหม่ๆ อ่ะค่ะ ด้วยความที่ Le Blocs ค่อนข้างเป็นรีสอร์ที่ดูแตกต่างจากที่อื่น ก็เลยคิดว่าสักวันจะต้องมาพักที่ Le Blocs ให้ได้นะคะ แต่ว่าพอวันเวลาผ่านไป บวกกับไม่ได้มีโอกาสมาสระแก้วสักที ก็เลยลืม ๆ Le Blocs ไปเลยอ่ะค่ะ >_<
จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 5 ปี จนถึงวันที่พิมได้มีโอกาสมาสระแก้วจริง ๆ พิมก็เลยลองหาข้อมูลดูว่าพิมจะพักที่ไหนดีนะคะ โดยเงื่อนไขของพิมคือ ต้องเป็นรีสอร์ทที่ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเราได้มาพักผ่อน เช่น อาจจะมีมีต้นไม้เยอะๆ หรือว่ามีมุมสบาย ๆ ที่สำคัญค่าที่พักรวมอาหารเช้าต้องไม่เกินคืนละ 1100- 1200 บาทอ่ะค่ะ แล้วหลังจากลองค้นหาข้อมูลไปมา พิมก็ได้มาเจอกับ Le Blocs นะคะที่ตรงตามความต้องการของพิมทุกอย่าง (โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ ฮ่ะๆ) ก็เลยตัดสินใจพักที่ Le Blocs นี่แหละค่ะ ^_^
โดยห้องพักที่พิมจองไป จะเป็นห้องพักแบบมี่ที่จอดรถนะคะ ซึ่งตัวที่จอดรถจะค่อนข้างแคบนิดนึง ถอยเข้าถอยออกยากนิดนึง - -" แต่โดยรวมแล้วก็ถอยได้ ไม่มีปัญหาอะไรอ่ะค่ะ
ส่วนห้องพัก ... สำหรับพิมถือว่าโอเคมากๆ นะคะ ทั้งในเรื่องของตำแหน่งการวางเฟอร์นิเจอร์ และการเก็บเสียง รวมไปถึงเรื่องห้องน้ำ เพราะจากที่พิมเคยพักห้องพักสไตล์นี้ บางที่ไม่เก็บเสียงเลยค่ะ เวลาใครเดินคุยกันข้างนอก เราจะได้ยินหมดเลยนะคะว่าเค้าคุยกันว่าอะไร >_< หรือบางทีผนังข้างทีนอน กระทบโดนนิดก็เสียงก้องมาก ทำให้เวลานอน หลับไม่สนิทเลย แต่ที่นี่โอเคทุกสิ่งอย่างอ่ะค่ะ
และหลังจากเก็บกระเป๋าเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาอาบน้ำนอนล่ะนะคะ เพราะว่าพรุ่งนี้ภารกิจเที่ยวของพิมค่อนข้างยาวไกล ตั้งใจว่าจะไปหลายที่มาก ๆ ^_^ เพราะนั้นคืนนี้เก็บแรงไว้ก่อนดีกว่าอ่ะค่ะ ...... แล้วพรุ่งนี้เจอกันอีกที สวัสดีค่า ^_^